Tag : เทคนิค NEAT
Elixir Hair Serum นวัตกรรมใหม่เพื่อเส้นผม
Elixir Hair Serum นวัตกรรมใหม่เพื่อเส้นผม 
หัวใจของนามนินคือการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายขึ้น จุดมุ่งหมายคือ เมื่อก้าวเข้ามาที่นามนิน คลินิก คุณจะได้รับกลับไปมากกว่าการรักษาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เราจึงมุ่งมั่นพัฒนาอย่างรอบด้านเพื่อตอบโจทย์ด้านอื่นด้วย ทั้งความสวยงาม ความสะดวกสบาย และการดูแลเส้นผมในระยะยาว

Elixir Hair Serum ผลิตภัณฑ์ใหม่จาก NEAT HAIR NUE เป็นนวัตกรรมการดูแลเส้นผมที่คิดค้นและพัฒนาโดยคุณหมอนิน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการปลูกผมและดูแลเส้นผม คุณหมอได้คัดสรรส่วนผสมที่เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ  100% เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ มั่นใจว่าไม่แพ้ ไม่มีผลข้างเคียง คุณหมอนินเป็นผู้ทดลองใช้ด้วยตัวเองและมั่นใจว่าเห็นผลจริง
ส่วนผสมหลักในเซรั่มเป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่คัดสรรมาเพื่อบำรุงเส้นผมและหนังศีรษะอย่างล้ำลึกประกอบไปด้วย

1. Baicapil นวัตกรรมจากพืชธรรมชาติ 3 ชนิด คือ Scutellaria Bicalensis ที่อุดมไปด้วยสาร Baicalin ร่วมกับต้นอ่อนของถั่วเหลืองและข้าวสาลี ช่วยกระตุ้นการงอกของเส้นผมและยืดระยะเวลาการงอกของต่อมรากผม ช่วยให้เส้นผมแข็งแรง ลดการหลุดร่วง

2. BIORAN Scalp N สารสกัดจากเมล็ดข้าวสาลี ธูปฤาษี เมล็ดข้าวบาร์เลย์อบแห้งและเมล็ดข้าวฟ่าง ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผม ลดการเกิดรังแค บำรุงหนังศีรษะให้แข็งแรง ป้องกันการอักเสบต่างๆ

3. Horsetail Extract สารสกัดจากหญ้าหางม้า มีแร่ธาตุและสารอาหารที่ช่วยบำรุงรากผมให้แข็งแรง ป้องกันผมร่วง ให้ความชุ่มชื่นและปรับสภาพเส้นผมให้นุ่มสลวยเงางาม

4. Kaffir Lime Extract สารสกัดจากมะกรูด สมุนไพรไทยที่มีคุณสมบัติเด่นชัดมากในการบำรุงผม ช่วยให้เซลล์รากผมแข็งแรง ผมไม่หลุดร่วงง่าย ผมนุ่มลื่น เงางาม ชะลอการเกิดผมหงอก ลดอาการคันศีรษะและเกิดรังแค

5. Blue Pea Extract สารสกัดจากดอกอัญชัน ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด รากผมและเส้นผมแข็งแรงขึ้น ผมดกดำเงางามและป้องกันผมหงอกก่อนวัย เป็นภูมิปัญญาของคนไทยที่ได้รับการยอมรับกันมายาวนาน

ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นเหล่านี้ Elixir Hair Serum จึงเป็นเซรั่มที่กระตุ้นการงอกของเส้นผม ช่วยลดการหลุดร่วง บำรุงให้เส้นผมที่บางลงกลับมาแข็งแรงและดกดำขึ้น ชะลอผมหงอกก่อนวัย ลดการผลิตไขมันหรือน้ำมันในหนังศีรษะ จึงช่วยลดรังแคและอาการคันศีรษะได้ เหมาะกับผู้ที่มีภาวะผมร่วง ผมบาง และผู้ที่ต้องการบำรุงเส้นผมและหนังศีรษะให้แข็งแรง ผมสุขภาพดีในระยะยาว

วิธีการใช้ก็สะดวกสบายมาก หลังจากสระผมแล้วเช็ดให้หมาด หยดเซรั่มบนหนังศีรษะให้ทั่ว นวดเบาๆ 2-3 นาที เพื่อกระตุ้นการหมุนเวียนของเลือดและช่วยให้โทนิคซึมเข้าสู่รากผมได้ดีขึ้น ไม่ต้องล้างออก ควรใช้ทุกครั้งหลังสระผม และควรใช้อย่างต่อเนื่องเพื่อผลลัพธ์ที่ดี

เพราะผลงานของ “นามนิน” ไม่เคยทำให้ผิดหวัง ด้วยความใส่ใจในทุกปัญหาเส้นผม ผนวกกับความตั้งใจที่จะพัฒนาการดูแลรักษาและการบริการอย่างต่อเนื่อง จึงเดินหน้าคิดค้นและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มการดูแลเส้นผม NEAT HAIR NUE  ที่พัฒนาขึ้นโดยคุณหมอนิน ผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจปัญหาเส้นผมอย่างแท้จริง รวมถึงเพิ่มศักยภาพการให้บริการ Hair Treatment เพื่อรองรับความต้องการและไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายขึ้น ถ้าคุณรักผม นามนิน พร้อมให้บริการและดูแลผมทุกเส้นของคุณด้วยความใส่ใจเสมอ
          

ปลูกผมผิดทิศ ชีวิตเปลี่ยน
ความสำเร็จของการปลูกผมสำหรับคนทั่วไป ก็คือการเติมผมบริเวณที่บางให้หายไป ให้กลับมาดูหนาแน่นได้อีกครั้ง แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมดของมาตรฐานการปลูกผม เพราะเส้นผมเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนกว่านั้นมาก!!

ทราบหรือไม่ว่า เบื้องหลังของผมปลูกใหม่ที่ไม่เพียงหนาแน่นสม่ำเสมอ แต่ยังเรียงตัวสวย “แลดูเป็นธรรมชาติ” นั้น คือทักษะความชำนาญ และความประณีตใส่ใจแบบสุด ๆ ของแพทย์ ในการ “ปลูกผมตามทิศทางองศา” ให้สอดคล้องลงตัวกับสภาพศีรษะและเส้นผมของคนไข้แต่ละคนมากที่สุด 

ทำไม “ทิศทางเส้นผม” จึงเป็นเรื่องสำคัญ
เพราะศีรษะบริเวณต่าง ๆ ของคนเรา มี “ทิศทางการเรียงตัว“ ของเส้นผมที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นด้านหน้าบริเวณใกล้หน้าผาก ด้านข้างบริเวณใบหู หรือบริเวณขวัญกลางศีรษะ เป็นต้น ขณะเดียวกัน เส้นผมของคนเราก็มีควา

แตกต่างทั้งในเรื่องของขนาด ความหนา และแน่นอนว่ารวมไปถึง “องศาความโค้ง” ของเส้นผมด้วย 

ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า แพทย์จะคัดเลือกผมที่มีองศาความโค้งแบบไหน นำไปปลูกลงใหม่ในบริเวณใด ลองจินตนาการดูสิว่า ถ้าผมใหม่หลังปลูกของเรา ชี้ไปคนละทิศละทาง ไม่กลมกลืนไปกับเส้นผมธรรมชาติเดิม จะเป็นอย่างไร 

ที่สำคัญ เราจะยังมองไม่เห็นผลลัพธ์ทิศทางเส้นผมชัดเจนเท่าไหร่ในวันแรก ๆ แต่จะไปเห็นอย่างชัดเจนขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปและผมเริ่มยาวขึ้น ซึ่งไม่สามารถแก้ไขอะไรได้แล้ว นั่นหมายความว่าเราอาจต้องอยู่กับผมที่ผิดทิศผิดทางเช่นนั้นไปตลอดชีวิต

“ทิศทางเส้นผม” โจทย์สุดท้าทายของแพทย์
ทั้งหมดนี้ จึงกลายเป็นโจทย์อันท้าทายสำหรับแพทย์ ที่จะต้องลงมือปลูกผมท่ามกลางปัจจัยอีกมากมายให้ต้องคำนึงถึง ตลอดการทำหัตถการปลูกผม ซึ่งนับเป็นการลงทุนที่สำคัญครั้งหนึ่งในชีวิตของคนไข้

ทิศทางและองศา 
แพทย์จะเป็นผู้ควบคุมทิศทางการเรียงตัวของเส้นผม รวมถึงองศาการจัดวาง ให้เหมาะสมกับกลุ่มเส้นผมในแต่ละบริเวณ ช่วยให้ผมปลูกใหม่ดูแนบเนียน กลมกลืน ลงตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการใช้เทคนิค “ปลูกผมแทรก” เพื่อแก้ปัญหาผมบาง ซึ่งแพทย์จะต้องปักเส้นผมใหม่ แทรกเติมลงไประหว่างผมเดิม หากทิศทางเส้นผมใหม่ย้อนแย้งหรือผิดทิศทางไปจากเส้นผมเดิม ก็จะยิ่งเห็นได้ชัดเจนว่าเส้นผมเรียงตัวแบบไม่เป็นธรรมชาติ

ความลึก 
แพทย์ยังต้องคำนึงถึงระดับความลึกในการปักเส้นผมใหม่ ให้ได้ระยะที่พอเหมาะพอดี เพื่อให้เส้นเลือดต่าง ๆ บริเวณรากผม สามารถเชื่อมต่อและทำหน้าที่ลำเลียงสารอาหารมาหล่อเลี้ยงเส้นผมใหม่ให้เติบโตแข็งแรง ไม่หลุดร่วงง่าย

ขนาด
หากเราลองสังเกตจะเห็นว่า ผมในแต่ละบริเวณบนศีรษะของเรา มีขนาดไม่เท่ากัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริเวณแนวผมด้านหน้า ซึ่งแพทย์จะต้องค่อย ๆ ปลูกผมใหม่ไล่เรียงจากเส้นผมเล็กบางบริเวณไรผม ตามด้วยเส้นผมเดี่ยว จนถึงเส้นผมที่อยู่รวมกลุ่มเป็นกอผมขนาด 3 – 4 เส้น ตามลำดับ เพื่อให้ใกล้เคียงกับสภาพธรรมชาติของเส้นผมมากที่สุด

วิธีการปลูกแบบเส้นต่อเส้น
เชื่อหรือไม่ว่า แพทย์จะต้องทำงานกับเส้นผม แบบเส้นต่อเส้น ตั้งแต่การคัดแยกเส้นผมที่เจาะย้ายออกมาจากด้านหลังท้ายทอย โดยแบ่งตามขนาดเส้นเล็กใหญ่ ความหนาบาง จำนวนเส้นผมต่อกอผม รวมถึงองศาความโค้งของเส้นผมด้วย จากนั้นจึงนำไปปลูกใหม่ในบริเวณที่เป็นปัญหา ทีละเส้น ทีละเส้น ซึ่งต้องอาศัยความประณีตและละเอียดอ่อนตลอดขั้นตอน

เพราะอย่างนี้เอง แพทย์จึงให้ความสำคัญกับการจัดวาง “ทิศทางผม” ในทุก ๆ เส้นที่แพทย์ตั้งใจปลูกลงไป เพื่อเรียกคืนรอยยิ้มและความมั่นใจให้กับเจ้าของเส้นผม ด้วยผลลัพธ์ผมสวย กลมกลืน แลดูเป็นธรรมชาติ รวมถึงสุขภาพผมแข็งแรง ซึ่งจะอยู่กับเราไปจนตลอดชีวิต 

Hair Growth Treatment เพื่อผมแข็งแรงในระดับเซลล์
Hair Growth Treatment เป็นนวัตกรรมการรักษาและบำรุงผมที่เน้นการกระตุ้นให้เซลล์รากผมทำงานได้อย่างเต็มที่ รวมถึงซ่อมแซมและฟื้นคืนวงจรชีวิตของเส้นผมให้กลับมาสมบูรณ์ ไม่หลุดร่วงง่าย วิธีการคือ การนำ Growth factor ของผู้เข้ารับการรักษาเองมาใช้ โดยการเก็บเลือดจากบริเวณข้อพับแขนเพียงเล็กน้อย และนำเลือดที่ได้มาเติมสารต้านการแข็งตัวของเลือด แล้วจึงปั่นด้วยเครื่องเหวี่ยงสาร เพื่อให้เลือดแยกชั้นออกเป็นชั้นเซลล์เม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือด และเซลล์เม็ดเลือดแดง จากนั้นนำ Growth factor มาผสานกับวิตามินเข้มข้นสูตรเฉพาะของนามนินแล้วจึงฉีดเข้าสู่หนังศีรษะ เพื่อกระตุ้นการทำงานของเซลล์รากผมให้กลับมาสร้างเส้นผมใหม่ที่หนาและแข็งแรง รวมถึงบำรุงหนังศีรษะให้มีสุขภาพดีขึ้นได้



สำหรับผู้ที่ทำการปลูกผม แพทย์จะให้ทำ Hair Growth Treatment หลังการปลูกผม เนื่องจากจะช่วยกระตุ้นเซลล์รากผมให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยให้ผมใหม่แข็งแรง ไม่หลุดร่วงง่าย ฟื้นคืนวงจรชีวิตของเส้นผมให้กลับสมบูรณ์ และช่วยให้แผลหายเร็วยิ่งขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ ยังเหมาะสำหรับผู้ที่มีผมบางไม่มากและรูขุมขนบนศีรษะยังเปิดอยู่ แพทย์อาจจะประเมินว่ายังไม่จำเป็นต้องรักษาด้วยการปลูกผมถาวร การฟื้นฟูเส้นผมและหนังศีรษะด้วยการทำ Hair Growth Treatment ตามระยะเวลาที่แพทย์กำหนดจะช่วยให้ผมหนาขึ้นได้ 




เทคนิค Hair Growth Treatment เป็นวิธีที่มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากไม่ต้องใช้สารเคมี ไม่ต้องทำการผ่าตัด จึงไม่ทำให้เกิดบาดแผลใด ๆ และไม่ต้องพักฟื้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติทันทีหลังเข้ารับบริการ อีกทั้งยังดูแลง่าย เพียงห้ามหนังศีรษะโดนน้ำภายใน 24 ชั่วโมงแรก จากนั้นผู้เข้ารับการรักษาสามารถสระผมหรือเช็ดผมอย่างเบามือได้ตามปกติ โดยเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเส้นผมที่อ่อนโยนในช่วงสัปดาห์แรก หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงระมัดระวังในการออกกำลังกาย เท่านี้ก็จะทำให้ผู้เข้ารับการรักษารู้สึกได้ถึงผลลัพธ์ที่ชัดเจนและเปี่ยมประสิทธิภาพได้ภายหลังการทำทรีทเม้นท์เพียงไม่กี่ครั้ง

New Hairline, New You จุดสตาร์ททุกสไตล์ความสวยของผู้หญิง
ในโลกที่เต็มไปด้วยนิยามความสวยที่หลากหลาย ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนก็อยากดูดีในสไตล์ของตัวเอง ซึ่งนอกจากการหมั่นคอยดูแลสุขภาพกายและใจ หรือการเลือกเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่ใช่ในแบบของเราเองแล้ว ปฏิเสธไม่ได้ว่า “เส้นผม” หรือทรงผม ก็เป็นหัวใจสำคัญอีกอย่างหนึ่ง ที่จะช่วยสื่อสารความสวยในสไตล์ที่ไม่ซ้ำใครให้กับคุณผู้หญิง 

ส่วนของเส้นผมที่มองข้ามไม่ได้ ก็คือ Hairline หรือแนวไรผม ที่ทำหน้าที่เป็นกรอบหน้าให้กับเจ้าของเส้นผมด้วย Hairline สำคัญขนาดไหน ทำไมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการปลูกผม จึงวางขั้นตอนการออกแบบ Hairline ให้เป็นจุดสตาร์ทขั้นแรก ๆ ในการรักษาและแก้ปัญหาเส้นผม 

...มาสำรวจเส้นทางสู่ผมสวยสุขภาพดีอย่างเป็นธรรมชาติไปพร้อม ๆ กัน...

ปัญหาผมแบบไหน กวนใจคุณผู้หญิง
แม้ว่าภาวะผมร่วงและผมบางในผู้หญิง จะเกิดจากการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมได้เช่นเดียวกับผู้ชาย แต่ก็จะมีรูปแบบที่ค่อนข้างแตกต่าง เริ่มจากรูปแบบผมบางบริเวณกลางศีรษะ ซึ่งมักเริ่มจากรอยแสกเล็ก ๆ และค่อย ๆ กว้างขึ้นจนเห็นหนังศีรษะชัดเจน เกิดจากการที่สัดส่วนของเส้นผมงอกขึ้นใหม่ มีปริมาณน้อยกว่า เมื่อเทียบกับปริมาณเส้นผมที่หลุดร่วงออกไป อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงจะมีโอกาสผมล้านทั้งศีรษะอย่างชัดเจนแบบผู้ชายได้น้อย เนื่องจากปัจจัยฮอร์โมนในร่างกาย

อีกรูปแบบหนึ่งของอาการที่พบเห็นได้บ่อย และสร้างความกังวลให้กับคุณผู้หญิงไม่น้อย คือการที่แนวผมด้านหน้าถอยร่นขึ้นไปจนทำให้หน้าผากกว้าง ลักษณะคล้ายรูปตัว M ทำให้หลาย ๆ คนสูญเสียความมั่นใจในการออกไปพบปะผู้คนในชีวิตประจำวัน 

ออกแบบ Hairline จุดสตาร์ททุกสไตล์ความสวย
ในขั้นตอนการประเมินแนวทางการรักษา แพทย์จะรับฟังความต้องการของคนไข้ ทำความเข้าใจลักษณะของปัญหาผม และพิจารณาถึงโอกาสความเป็นไปได้ในการปลูกผมให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งนอกจากต้องประเมินพื้นที่ปลูก และคำณวนจำนวนกราฟต์ผมที่จะต้องนำออกจากบริเวณท้ายทอย มาปลูกยังบริเวณที่เป็นปัญหาแล้ว แพทย์ยังลงมือออกแบบเส้น Hairline หรือกรอบหน้าใหม่ให้กับคนไข้ด้วย ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนสำคัญทีเดียว เพราะ Hairline ที่ใช่ อาจเปลี่ยนคุณเป็นคนใหม่ได้ในทันที!!




วิเคราะห์กรอบหน้า
ในการออกแบบ Hairline ใหม่นั้น แพทย์จะเริ่มจากการวิเคราะห์กรอบหน้าของคนไข้ก่อน โดยศึกษากล้ามเนื้อใบหน้าแต่ละส่วน และสังเกตทุกรายละเอียดความงามเฉพาะตัวของแต่คน จากนั้นจึงร่างเส้น Hairline ใหม่ให้สอดรับกับสัดส่วนใบหน้า โดยนำหลัก Golden Ratio หรือสัดส่วนทองมาช่วยในการออกแบบ ซึ่งต้องคำนึงถึงเพศ วัย และทรงผมเดิมของคนไข้ด้วย 

นี่จึงเป็นขั้นตอนที่แพทย์ต้องอาศัยมุมมองทางศิลปะในการออกแบบ เพื่อให้ได้เส้น Hairline ที่เหมาะสมเฉพาะแต่ละบุคคล สามารถสะท้อนตัวตนและความงามที่บ่งบอกถึงความเป็นคุณเท่านั้น




วิเคราะห์โครงสร้างของเส้นผม
Hairline คือแนวไรผม หรือกลุ่มของกอผมที่เรียงตัวกันตามแนวกรอบใบหน้า หากลองสังเกตจะพบว่า ไรผมของคนเรามักจะมีลักษณะเป็นเส้นเล็ก ๆ บาง ๆ แล้วจึงค่อย ๆ ไล่ระดับความหนาขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเราสามารถแบ่งลักษณะของเส้นผมแต่ละแนวได้ดังนี้

แนวที่ 1 เส้นผมบาง หรือ Fine follicle ที่อยู่ด้านนอกสุด 
แนวที่ 2 เส้นผมเดี่ยว หรือ Single follicle ที่อยู่แนวลึกเข้ามา
แนวที่ 3 กอผมที่มีหลายเส้น หรือ Multiple follicles ซึ่งอยู่ด้านในสุด 

Hairline ใหม่ = คุณคนใหม่
หลังจากแพทย์วิเคราะห์กรอบหน้าและโครงสร้างของเส้นผมเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะลงมือร่างเส้น Hairline ใหม่ ซึ่งจะทำหน้าที่แตกต่างกันสำหรับผู้หญิงและผู้ชาย 

กล่าวคือ  ขณะที่แพทย์ออกแบบเส้น Hairline สำหรับผู้ชาย โดยเน้นหน้าผากกว้างและสูงเป็นทรงเหลี่ยม ส่วนแนวผมด้านข้างปรับเป็นมุมแหลมหรือรูปตัววี และเลือกปลูกผมเส้นใหญ่แข็งแรง เพื่อขับกรอบหน้าคุณผู้ชายให้ดูคมเข้มโดดเด่น เสริมลุคสมาร์ทน่ามอง 

สำหรับคุณผู้หญิง แพทย์จะออกแบบวงกรอบหน้าให้ดูโค้งมน หวานละมุน และไล่ระดับความหนาบางของเส้นผม จนคุณผู้หญิงแลดูอ่อนเยาว์ขึ้น สดใสขึ้น ส่งให้รูปลักษณ์และบุคลิกภาพดีขึ้น จนเรียกคืนความมั่นใจกลับมาได้ในที่สุด





ใส่ใจในเส้นผมปลูกใหม่ทุก ๆ เส้น
และเมื่อถึงเวลาปลูกผมใหม่ ขั้นตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นขั้นตอนที่ต้องอาศัยความพิถีพิถันละเมียดละไม และใส่ใจแบบสุด ๆ เพราะอย่างที่ทราบกันแล้วว่า เส้นผมแต่ละบริเวณ แต่ละตำแหน่ง มีขนาดและความหนาแน่นไม่เท่ากัน กลายเป็นโจทย์ที่ท้าทายสำหรับแพทย์ ในการปลูกผมใหม่ให้แลดูกลมกลืนเป็นธรรมชาติ ไม่ต่างจากผมเดิมของคนไข้

ถึงตรงนี้ การทำความรู้จัก “กราฟต์ผม” จะช่วยให้เราเข้าใจการทำงานของแพทย์ได้ดีขึ้น กราฟต์ผม หรือกอผม เป็นกลุ่มของเส้นผมที่อยู่รวมกันตั้งแต่ 1 – 4 เส้น แตกต่างกันไปในแต่ละคน กราฟต์ผมของเราจะถูกประเมินโดยแพทย์ตั้งแต่ในขั้นตอนแรก ว่ามีปริมาณและความหนาแน่นมากน้อยแค่ไหน เพื่อวางแผนการปลูกผมให้ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด ซึ่งผมปลูกใหม่อาจมีความหนาแน่นได้ถึง 60 – 70 ตารางเซนติเมตร

เมื่อแพทย์ทำการย้ายกราฟต์ผมจากด้านหลังท้ายทอยออกมาแล้ว จะต้องนำกราฟต์ผมมาคัดแยก ให้ได้เส้นผมที่แข็งแรง ตามขนาด และทิศทางที่ต้องการ เช่น หากเป็นผมบริเวณที่อยู่ลึกเข้าไป ซึ่งเรียงตัวกันค่อนข้างหนาแน่น แพทย์สามารถใช้กราฟต์ผมที่มีขนาด 2 – 4 เส้น เพื่อความกลมกลืนกับเส้นผมเดิม 

แต่หากเป็นแนวไรผมด้านหน้า ที่แพทย์วาดเส้น Hairline ให้ใหม่ ก็อาจจำเป็นต้องแบ่งกราฟต์ผม ให้เหลือเพียง 1 – 2 เส้นเท่านั้น โดยเลือกเส้นผมที่มีขนาดเล็กและบาง เหมาะสมกับตำแหน่งที่จะปลูกลงไป ตามที่แพทย์ได้วิเคราะห์โครงสร้างเส้นผมเอาไว้นั่นเอง

ปลายทางผลลัพธ์ผมสวยเป็นธรรมชาติ
เมื่อสตาร์ทด้วยการออกแบบ Hairline โดยวิเคราะห์กรอบหน้าและโครงสร้างเส้นผมอย่างถูกต้อง ปลายทางผลลัพธ์ที่ได้ จึงเกิดเป็นผมสวย สุขภาพดี แลดูเป็นธรรมชาติอย่างที่คุณรอคอย โดยสังเกตลักษณะของเส้นผมได้ดังนี้ 

  • ขนาดของเส้นผมใหม่ กลมกลืนไปกับเส้นผมเดิม ทั้งในบริเวณที่เส้นผมมีขนาดเล็กบาง หรือบริเวณที่เส้นผมหนา
  • ความหนาแน่นของผมใหม่ มีความหนาแน่นกำลังดี อยู่ที่ 60 – 70 ตารางเซนติเมตร ไม่แน่นหรือบางจนเกินไป
  • ทิศทางของเส้นผมใหม่ เรียงตัวเป็นทิศทางเดียวกันกับเส้นผมเดิม
  • องศาของเส้นผมใหม่ มีการวางตัว หรือเอนตัวในระดับองศาเดียวกันกับเส้นผมเดิม
  • ความลึกของเส้นผมใหม่ ความลึกที่เหมาะสมจะช่วยการันตีว่า ผมใหม่จะได้รับสารอาหารที่ลำเลียงมากับเส้นเลือด และส่งต่อมายังรากผมได้อย่างเต็มที่ เพื่อให้ผมใหม่เติบโตอย่างสมบูรณ์แข็งแรง

ผลลัพธ์ทั้งหมดนี้ จะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและความใส่ใจของแพทย์ อย่างเช่นที่นามนิน นอกจากออกแบบ Hairline ใหม่แล้ว แพทย์จะเป็นผู้บรรจงปลูกผมด้วยตัวเอง ทีละกราฟต์ ทีละกราฟต์ ทั้งยังเลือกใช้เครื่องมือมากประสิทธิภาพที่นำเข้าจากต่างประเทศ นั่นคือ Implanter ที่มีเส้นรอบวงของหัวเข็มขนาดเล็กพิเศษเพียง 0.60 มิลลิเมตร ช่วยให้แพทย์ค่อย ๆ ปักผมได้ละเอียด หนาแน่น ควบคุมความลึกในการปักได้อย่างแม่นยำ วางองศาในการปัก และเรียงทิศทางได้อย่างเหมาะสม ยิ่งไปกว่านั้น ยังเหลือไว้เพียงแผลขนาดเล็กจิ๋ว เลือดออกน้อย ดูแลง่าย ทำให้คนไข้ไม่ต้องพักฟื้น และพร้อมออกไปใช้ชีวิตได้ทันที

แน่นอนว่า นามนิน จะมอบประสบการณ์การปลูกผมที่พิเศษสุดให้คุณตั้งแต่จุดสตาร์ท และนำคุณส่งถึงจุดหมายปลายทาง ซึ่งจะเปลี่ยนคุณเป็นคนใหม่ที่มั่นใจและยิ้มให้กับตัวเองรวมถึงคนรอบข้างได้กว้างกว่าเดิม



ปลูกผมถาวร เริ่มเร็วผลลัพธ์ดี
สิ่งที่หลายคนยังไม่ทราบคือ “การรักษาด้วยการปลูกผมถาวรต้องใช้เส้นผมของตัวคนไข้เองเท่านั้น” นี่จึงเป็นสาเหตุว่า ทำไมจึงควรพบแพทย์ทันทีหากเริ่มประสบปัญหาผมร่วง ผมบาง เพราะหากยิ่งปล่อยให้อาการผมร่วงและผมบางรุนแรงหรือขยายวงกว้างขึ้น การแก้ปัญหาด้วยการปลูกผมถาวร ก็จะยิ่งเป็นไปได้ยาก หรือแทบเป็นไปไม่ได้เลย ซึ่งจากประสบการณ์การรักษาของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พบว่าในคนไข้ที่ผมร่วงตั้งแต่หน้าผากไปจนถึงกลางศีรษะเป็นบริเวณกว้าง การจะนำกราฟต์ผมจากด้านหลังท้ายทอย ซึ่งเป็นเส้นผมที่แข็งแรงทนทานต่อการหลุดร่วงมากที่สุด มาปลูกใหม่ยังบริเวณที่เป็นปัญหา อาจไม่สามารถเฉลี่ยกราฟต์ผมเพื่อช่วยเติมเต็มบริเวณเส้นผมที่หลุดร่วงหายไปได้ครบถ้วนทั่วทุกจุด เนื่องจากต้นทุนเส้นผมบริเวณท้ายทอยนั้นมีอยู่จำกัด อาจไม่เพียงพอที่จะทดแทนเส้นผมบริเวณอื่นได้ทั้งหมด หากคุณกำลังประสบกับปัญหาผมร่วง ผมบาง และกำลังมองหาวิธีการรักษาที่ได้ผลดีที่สุด แนะนำว่าควรปรึกษาแพทย์เพื่อวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่แท้จริง เพื่อแพทย์จะได้แนะนำการรักษาที่ถูกต้อง และได้ประสิทธิภาพอย่างที่คุณพอใจ




ที่นามนิน คลินิก ตระหนักดีว่า “เส้นผม” เป็นมากกว่าแค่องค์ประกอบเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งของร่างกาย แต่เข้าใจถึงความหมายและความสำคัญของเส้นผม ว่าเป็นเครื่องสะท้อนถึงบุคลิกภาพและตัวตน ยิ่งไปกว่านั้น การปลูกผมยังเป็นทั้ง “ศาสตร์” และ “ศิลป์” ที่ต้องประกอบไปด้วยหลักวิชาเพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยและความสะดวกสบาย การปลูกผมไม่ควรส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้รับบริการ และยังต้องคำนึงถึงผลลัพธ์ด้านความสวยงามและความเป็นธรรมชาติของเส้นผมที่ได้รับการปลูกขึ้นใหม่ด้วย แพทย์จะประเมินแนวทางการรักษาที่เหมาะกับลักษณะปัญหาของผู้ที่ตัดสินใจเข้ามาปรึกษาแต่ละคนให้มากที่สุด โดยพิจารณาจากความกังวลของผู้เข้ารับบริการเป็นลำดับแรก หลังจากการประเมินปัญหาแล้ว แพทย์จะอธิบายข้อมูลอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมาถึงขั้นตอนการรักษาและความเป็นไปได้ของผลลัพธ์การรักษา เพื่อให้ผู้เข้ารับบริการได้นำข้อมูลทั้งหมดไปตัดสินใจเอง โดยไม่มีการชี้นำหรือบังคับใดๆทั้งสิ้น และแพทย์จะเป็นผู้ดูแลทุกขั้นตอนการรักษาด้วยตนเอง 





ที่นามนิน ใช้การปลูกผมเทคนิค N/E/A/T ซึ่งมีจุดเด่น ตั้งแต่การออกแบบ Hairline ระหว่างแพทย์กับคนไข้เพื่อให้ได้กรอบหน้าใหม่ที่สวยงามรับกับโครงหน้า การซ่อนแผลด้านหลังกับผมทรงเดิม การปลูกผมด้วย Implanter ขนาดเล็กเพียง 0.60 มม.ทำให้แผลมีขนาดเล็ก ไม่เจ็บขณะทำการปลูกผม และฟื้นตัวได้ไว ผลลัพธ์ที่ได้คือ ผมที่ขึ้นใหม่ดูหนาและกลมกลืนไปกับผมเดิม รวมไปถึงความประณีตในการจัดวางรากผมให้มีองศาและทิศทางเป็นไปในทิศทางเดียวกันอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งทุกขั้นตอนเต็มไปด้วยความใส่ใจจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

ดังนั้นหากคุณกำลังหาวิธีดูแลรักษาปัญหาผมร่วงผมบาง แนะนำว่าควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่แท้จริง เพื่อแพทย์จะได้แนะนำการรักษาที่ถูกต้องและรักษาให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด อย่าปล่อยให้กลายเป็นปัญหาเรื้อรังที่ทำให้คุณขาดความมั่นใจจนสูญเสียความเป็นตัวเอง เลือกที่จะเปลี่ยนเป็นคนใหม่กับบุคลิกภาพที่ดูดีได้ ด้วยการตัดสินใจของตัวคุณเอง


ทำไมผู้ชายเสี่ยง “ผมล้าน” มากกว่าผู้หญิง
"ไม่ใช่คำสาปหรือความลำเอียงของพระเจ้า แต่เรื่องของเส้นผมบนศีรษะของคนเรา เป็นลักษณะที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติล้วน ๆ"

วันนี้ เราจะเปิดบทเรียนชีววิทยาเล็ก ๆ ที่จะช่วยไขความลับระดับพันธุกรรม และตอบคำถามว่า ทำไมกันนะ ผู้ชายจึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการ “ผมล้าน” และ “ผมร่วง” มากกว่าผู้หญิง

ผู้หญิงกับผู้ชายมีลักษณะทางกายภาพโดยทั่วไปที่แตกต่างกันเป็นปกติอยู่แล้ว เช่นเดียวกับในเพศผู้หรือเพศเมียของสัตว์ ซึ่งแน่นอนว่า จะต้องมี “ยีน” หรือ “หน่วยควบคุมลักษณะทางพันธุกรรม” ที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับ “เพศ” อยู่ 

หากยีนเหล่านั้นมีตำแหน่งอยู่บน “โครโมโซมเพศ” โดยตรง (Sex-linked traits) เพศก็จะมีผลต่อการแสดงออกของยีน แต่ถ้ายีนเหล่านั้นมีตำแหน่งอยู่บน “ออโตโซม” นั่นแปลว่า ไม่ใช่แค่เพศเท่านั้นที่มีผลต่อการแสดงออกของยีน แต่ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น อย่างเช่นฮอร์โมนในร่างกายด้วย ซึ่งจะพบได้ใน 2 รูปแบบต่อไปนี้

  • ลักษณะทางพันธุกรรมจำกัดเพศ หรือ Sex-limited traits
แม้ว่าทั้งผู้หญิงและผู้ชายต่างก็มียีนควบคุมลักษณะเช่นนี้อยู่บนออโตโซม แต่ลักษณะดังกล่าวจะแสดงออกในเพศใดเพศหนึ่งเท่านั้น ตัวอย่างง่าย ๆ เช่น การที่ผู้ชายมีหนวดเครา มีเสียงห้าว หรือการที่ผู้หญิงสามารถผลิตน้ำนมเลี้ยงลูกได้ ซึ่งฮอร์โมนจะเป็นตัวควบคุมให้ลักษณะนี้เกิดเพียงแค่เฉพาะในผู้ชายหรือผู้หญิง

  • ลักษณะทางพันธุกรรมที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของเพศ หรือ Sex-influenced traits
เช่นเดียวกัน ทั้งผู้หญิงและผู้ชายต่างก็มียีนควบคุมลักษณะเช่นนี้อยู่บนออโตโซม และลักษณะดังกล่าวจะแสดงออกได้ในทั้งเพศชายและเพศหญิง โดยมีฮอร์โมนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราพบลักษณะเหล่านี้ได้มากในเพศหนึ่ง และพบได้น้อยในอีกเพศหนึ่ง 




ตัวอย่างที่ชัดเจนของที่สุดของรูปแบบนี้ ก็คือลักษณะ “ผมล้าน” ที่เกิดขึ้นได้ทั้งสองเพศ แต่มักพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง เนื่องจากเพศชายมีฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Testosterone) มากกว่านั่นเอง และหากผู้หญิงคนไหนที่มีฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในระดับสูง ก็จะเกิดอาการ “ผมล้าน” ได้มากกว่าปกติเช่นกัน

สำหรับผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดลักษณะผมล้านผ่านทางพันธุกรรม หรือที่เรียกว่า Androgenetic alopecia นั้น จะพบว่าเอนไซม์ 5-alpha reductase ที่บริเวณหนังศีรษะมีปริมาณเพิ่มขึ้น ซึ่งเอนไซม์ที่ว่านี้ จะไปเปลี่ยนฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ให้กลายเป็นฮอร์โมนไดไฮโดรเทสโทสเตอโรน (dihydrotestosterone) หรือ DHT 

เจ้าฮอร์โมน DHT นี่เอง คือตัวการที่ส่งผลให้รูขุมขนบริเวณหนังศีรษะเล็กลง ทำให้เส้นผมเกิดใหม่มีรากผมอ่อนแอ เส้นบางและสั้นลง จนหลุดร่วงเร็วกว่าปกติ เป็นที่มาของอาการผมร่วง ผมบาง และผมล้าน ที่พบในผู้ชายได้มากกว่าผู้หญิงนั่นเอง








น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งว่า ลักษณะผมล้าน เรียกได้ว่าเป็น Polygenic trait หรือเป็นลักษณะทางพันธุกรรมที่ถูกควบคุมด้วยยีนหลายคู่ และมีระดับการแสดงออกของอาการแตกต่างกันไปหลายระดับ เช่นสีตาของมนุษย์ เกิดจากการที่ยีนส่งผลต่อการสร้างเม็ดสีเมลานิน ทำให้ตามีสีน้ำตาลเข้ม ไล่มาจนถึงสีน้ำตาลอ่อน รวมไปถึงตัวอย่างอื่น ๆ เช่นลักษณะสีผิว ลักษณะความสูง ตลอดจนสีของเมล็ดพืชหรือขนาดของผลไม้ด้วย ที่สำคัญ ยีนเหล่านี้ รวมถึงยีนผมล้าน อาจได้รับการถ่ายทอดมาจากฝั่งพ่อหรือแม่ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องรับมาจากฝั่งพ่อเพียงฝ่ายเดียว


การทำความเข้าใจที่มาของอาการผมร่วง ผมบาง และผมล้าน ผ่านรหัสพันธุกรรมที่แม้มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น จะช่วยให้การรับมือกับปัญหาเส้นผม เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ เมื่อเราเริ่มรู้สึกกังวลจากอาการผมร่วงหรือผมบาง ควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผมโดยไม่จำเป็นต้องรอให้อาการรุนแรงขึ้น หรืออายุมากขึ้น เนื่องจากหากแพทย์มีโอกาสวินิจฉัยได้เร็ว ก็จะช่วยให้ทราบว่าคนไข้มีระดับความเสี่ยงสูงแค่ไหนที่จะเกิดปัญหาผมล้านในอนาคต และรีบรักษาอย่างถูกวิธีตั้งแต่ระยะเริ่มต้น เพื่อให้ผมสวยสุขภาพดีอยู่คู่กับหนังศีรษะของเราไปนาน ๆ 



สำรวจ Timeline เส้นผมใหม่หลังปลูกผม
การดูแลเส้นผมปลูกใหม่ ก็ไม่ต่างจากการเฝ้าดูแลต้นไม้ตั้งแต่แรกปลูกจนกระทั่งค่อย ๆ เติบโต ซึ่งต้องการทั้งความเอาใจใส่ และอาศัยความอดทนในการรอคอยเวลา เพราะแม้วิทยาการที่ล้ำหน้าในวันนี้ จะช่วยให้เราเอาชนะความร่วงโรยของร่างกาย ด้วยการปลูกผมใหม่เพื่อทดแทนและเติมเต็มในบริเวณที่ผมบางหรือเป็นปัญหาได้สำเร็จ แต่กว่าเส้นผมจะแข็งแรงสมบูรณ์ได้อย่างเต็มที่นั้น เรายังคงต้องปล่อยให้ “ธรรมชาติ” เป็นเหมือนวาทยกรประจำวงผู้คอยกำกับจังหวะการเติบโตของเส้นผมอย่างค่อยเป็นค่อยไปตลอด 1 ปีเต็ม ๆ

ใครที่กำลังสนใจศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการปลูกผม และอยากเห็นภาพว่า เส้นผมของเราจะค่อย ๆ เติบโตขึ้นแค่ไหน อย่างไร และมีช่วงไหนที่ต้องดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษบ้าง มาทำความเข้าใจ Timeline การเติบโตของเส้นผมตามวงจรธรรมชาติไปพร้อม ๆ กัน


หลังปลูกผมทันที
วันแรก เราจะเห็นเพียงตอผมใหม่ขนาดเล็ก ๆ ซึ่งหากปลูกด้วยเทคนิค NEAT  หนังศีรษะจะมีอาการบวมแดงน้อยมากหรือแทบไม่มีเลย 


เมื่อเข้าวันที่ 2-5 แผลขนาดเล็กจากการปลูกผมใหม่จะเริ่มตกสะเก็ด กระทั่ง 1 สัปดาห์ผ่านไป สะเก็ดแผลจะเริ่มร่วง รวมถึงไม่มีอาการบวมแดงอีกต่อไป และในวันที่ 10 ของการปลูกผม เราจะสังเกตเห็นผมใหม่ที่เริ่มยาวขึ้นประมาณ 2-4 มิลลิเมตร โดยยังเหลือสะเก็ดแผลอยู่เพียงเล็กน้อย


หลังปลูกผม 14 วัน
เป็นช่วงที่สะเก็ดแผลร่วงจนหมด และเริ่มมั่นใจได้ว่า เส้นผมของเราได้ไปต่อ!! เนื่องจากเซลล์รากผมใหม่เริ่มฝังตัวติดกับหนังศีรษะแล้วนั่นเอง



หลังปลูกผม 1-2 เดือน 
ช่วงนี้ หลาย ๆ คนอาจจะตกใจเนื่องจากผมที่ปลูกใหม่เริ่มหลุดร่วงจนเกือบหมด ที่จริงแล้ว นี่คือปรากฏการณ์ Shock loss ที่เกิดขึ้นเป็นปกติ โดยเส้นผมใหม่จะทยอยหลุดร่วงออกประมาณร้อยละ 80 ก่อนเข้าสู่ระยะพัก และหยุดการงอกใหม่ไปอีกประมาณ 1-2 เดือน ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นไปตามวงจรธรรมชาติเพื่อให้รากผมที่ฝังตัวเรียบร้อยแล้วนั้น เตรียมงอกขึ้นเป็นเส้นผมใหม่ที่แข็งแรงกว่าในช่วงเดือนต่อไป



หลังปลูกผม  3-4 เดือน
ผมปลูกใหม่ที่หลุดร่วงไป จะเริ่มทยอยงอกกลับขึ้นมาใหม่ โดยมีลักษณะเป็นเส้นเล็ก ๆ 



หลังปลูกผม 6 เดือน
สังเกตได้ว่า เส้นผมของเราเริ่มยาวและแข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเมื่อเข้าเดือนที่ 9 เส้นผมจะเจริญเติบโตและเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังมีทิศทางการเรียงตัวของเส้นผมดูเป็นธรรมชาติและกลมกลืนไปกับเส้นผมเดิม



หลังปลูกผม 1 ปี
ผมใหม่ขึ้นอย่างหนาแน่นถึงประมาณร้อยละ 95 และจะค่อย ๆ เพิ่มปริมาณและความแข็งแรงสมบูรณ์เต็มร้อยภายในช่วง 1-2 ปี จนได้ผลลัพธ์แห่งการรอคอยเป็นผมสวยสุขภาพดีที่จะคงอยู่ต่อไปอย่างถาวร ไม่ต่างจากผมธรรมชาติแท้ ๆ ของเราเลย


ทั้งนี้ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเป็นผู้คอยติดตามผลการรักษาและให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เส้นผมปลูกใหม่ต้องการการดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ นั่นคือช่วง 14 วันแรกหลังเข้ารับการปลูก ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นระยะชี้ชะตาเส้นผมใหม่ว่าจะรอดหรือร่วงเลยก็ว่าได้ เนื่องจากเป็นช่วงที่เส้นเลือดฝอยซึ่งจะทำหน้าที่ลำเลียงอาหารและออกซิเจนมาเลี้ยงเส้นผม กำลังเชื่อมต่อกับเซลล์รากผมใหม่ ไม่เพียงเท่านั้น ยังเป็นช่วงที่เกล็ดเลือดเริ่มแข็งตัวเป็นสะเก็ดแผล ทำให้มีโอกาสที่กราฟต์ผมจะหลุดออกได้หากดูแลเส้นผมและหนังศีรษะไม่ดีพอ ที่สำคัญ ในช่วงนี้ยังต้องระวังการเกิดสิว และการเกิดรากผมอักเสบ ที่อาจทำให้ผลหลุดร่วงได้เช่นกัน


และเมื่อผ่านช่วง 2 สัปดาห์แรกไปเรียบร้อยแล้ว รากผมจะเริ่มฝังตัวมั่นคงในชั้นหนังศีรษะ จากนี้ แพทย์อาจจะแนะนำให้เสริมการดูแลเส้นผมด้วยการฉายแสง LED Light Therapy ซึ่งเป็นแสงที่มีความยาวคลื่นเหมาะสม เพื่อกระตุ้นและเร่งการเจริญเติบโตของรากผม รวมถึงสามารถฉีด Growth Factors ความเข้มข้นสูง ที่ได้จากเกล็ดเลือดของผู้เข้ารับการปลูกผมเอง ร่วมกับวิตามินมากคุณประโยชน์  เพื่อลดการอักเสบ กระตุ้นการเติบโตและแบ่งเซลล์ของรากผม รวมถึงลดการหลุดร่วงของเส้นผมด้วย


การปลูกผม จึงไม่ต่างจากการตัดสินใจก้าวออกเดินทางครั้งใหม่ร่วมกันระหว่างผู้เข้ารับการปลูกผมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งต้องช่วยกันวางแผน และประคับประคองดูแลด้วยความใส่ใจอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การเดินทางอันยาวไกลตลอด 1 ปีเต็ม ๆ นั้น กลายเป็นประสบการณ์ที่สมบูรณ์แบบ และให้ผลลัพธ์เส้นผมใหม่ที่คุ้มค่าสมกับการรอคอย

คุณรัก “ผม” มั้ย เมื่อเส้นผมคือสิ่งชูใจ ความสุข และบุคลิกภาพ
สำหรับหลาย ๆ คนแล้ว เส้นผมเป็นเพียงส่วนประกอบเล็ก ๆ ที่แสนธรรมดาของร่างกาย มีหลุดร่วง มีงอกขึ้นใหม่ เป็นไปตามวงจรธรรมชาติของเส้นผม แต่ในความธรรมดาที่แสนพิเศษนั้น เส้นผมกำลังทำหน้าที่ที่สำคัญ ไม่แพ้ส่วนอื่น ๆ ของร่างกายเลยทีเดียว

เส้นผมที่ดูบอบบาง ไม่เพียงทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดปกป้องหนังศีรษะ ไม่ให้สูญเสียความร้อนภายใน หรือสัมผัสกับอากาศภายนอกที่ร้อนหรือหนาวเย็นจนเกินไป แต่ยังเป็นเครื่องประดับชิ้นสำคัญของร่างกาย ช่วยสร้างและเสริมบุคลิกภาพให้ดูดี ช่วยบ่งบอกตัวตนที่มีความเฉพาะตัวไม่ซ้ำใคร บางครั้งก็ช่วยเปลี่ยนลุคให้คนหนึ่งคนปรับสไตล์เป็นใครได้อีกหลายบทบาท ทั้งยังเป็นเครื่องสร้างความมั่นใจในการออกไปใช้ชีวิตและพบปะผู้คน หรือสำหรับบางคน การได้มองตัวเองในกระจกคนเดียว และได้เห็นผมสวยเงางามสุขภาพดี สะท้อนกลับมาพร้อมกับเงาในกระจกด้วย ก็ช่วยเยียวยาจิตใจและอารมณ์ให้รู้สึกดีขึ้นหรือ “รัก” ตัวเองมากขึ้นได้แล้ว 


จึงไม่น่าแปลกใจที่เราจะเห็นคนทุกเพศทุกวัยใจต่างก็พากันใจบางและอ่อนไหวเมื่อเป็นเรื่องของเส้นผม  ทำไมเด็ก ๆ จึงมีปัญหากับการบรรดากฎการไว้ทรงผมต่าง ๆ ในโรงเรียน (จากใจผู้เขียนที่เคยร้องไห้เพราะต้องตัดผมสั้นเท่าติ่งหู) เพราะผมที่ถูดตัดออกไปนั้นเท่ากับการสูญเสียตัวตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยที่กำลังเติบโตและก่อร่างสร้างตัวตนในสังคม และทำไมผู้ใหญ่จึงต้องหาทางปกปิดอาการผมบางกันแทบทุกวิถีทาง ก็เพราะนั่นคือส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพที่น่าเชื่อถือ รวมถึงความอ่อนเยาว์ไม่ดูแก่เกินวัย ผู้ที่ประสบปัญหาจากภาวะผมร่วง ผมบาง ไปจนถึงศีรษะเริ่มล้านในบางคน ถึงกับเสียน้ำตาด้วยความดีใจ หลังจากที่เข้ารับการรักษาแล้ว เส้นผมงอกขึ้นใหม่จนแลดูหนาแน่นแข็งแรง เพราะเส้นผมไม่ใช่แค่ตัวประกอบเล็ก ๆ ของร่างกาย แต่เป็นกุญแจสำคัญที่จะคืนความมั่นใจให้เจ้าของเส้นผมได้ดังเดิม

น่าเสียดายที่คนจำนวนไม่น้อยมาเข้าใจคุณค่าการมีอยู่ของเส้นผม ก็เมื่อวันที่เสียผมไปแล้วหรือเกิดปัญหากับเส้นผมขึ้นแล้วนั่นเอง แต่อย่างไรก็ตาม วิทยาการการรักษาและเทคโนโลยีการปลูกผมในปัจจุบัน ก็สามารถตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการแก้ไขอาการผมบาง เพื่อคืนผมสวยสุขภาพดีให้กลับมาหนาแน่นขึ้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เข้าใจแล้วว่าเส้นผมมีความหมายกับการใช้ชีวิตมากแค่ไหน แต่อาจจะยังลังเลใจว่าจะเลือกวิธีการรักษาแบบไหนดี มาทำความเข้าใจข้อเท็จจริงของ “การปลูกผมถาวรโดยไม่ต้องผ่าตัด” ไปด้วยกัน

ไม่ต้องผ่าตัดแล้วใช้วิธีการอย่างไร... การปลูกผมด้วยเทคนิคใหม่ ๆ ในปัจจุบัน จะใช้อุปกรณ์ขนาดเล็กจิ๋วเจาะนำกราฟต์ผม หรือกลุ่มของเซลล์รากผมจากบริเวณท้ายทอยด้านหลังศีรษะ เพื่อย้ายมาปลูกลงใหม่ ณ บริเวณที่เป็นปัญหา ซึ่งต่างจากวิธีการในอดีตที่ต้องทำการผ่าตัดหนังศีรษะ และทิ้งรอยแผลเอาไว้

แผลน่ากลัวแค่ไหน คนอื่นจะเห็นได้ง่ายหรือไม่... บอกลาความกังวลใจเกี่ยวกับเรื่องแผลเป็นได้เลย เพราะการปลูกผมแบบย้ายเซลล์นั้น ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องโกนผมด้านหลัง ไม่ต้องกลัวว่าจะอายใคร โดยแพทย์จะใช้เทคนิคซ่อนแผลแบบขั้นบันได ขณะเดียวกันในบริเวณที่ปลูกผมลงไปใหม่ ก็ใช้อุปกรณ์ขนาดเล็กพิเศษในการเจาะเพื่อปักกราฟต์ผม แผลที่เกิดขึ้นจึงมีขนาดเล็กมาก

ปลูกผมเสร็จแล้ว ไม่ต้องพักฟื้นจริงหรือ... หลังการปลูกผมแบบย้ายเซลล์ ผู้เข้ารับการรักษาสามารถลุกขึ้นใช้ชีวิตปกติได้เลยโดยไม่ต้องพักฟื้นหรือลางานในวันรุ่งขึ้น เนื่องจากแทบไม่มีความเจ็บ และแผลก็มีขนาดเล็กมาก ซึ่งเป็นผลมาจากเทคโนโลยีเครื่องมือที่นำเข้าจากต่างประเทศ รวมถึงความเชี่ยวชาญของแพทย์ด้วยนั่นเอง





ทำไมจึงใช้ระยะเวลานานในการรักษา... หลังจากวันที่เข้ารับการปลูกผมเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะติดตามอาการอย่างใกล้ชิดเป็นระยะเวลา 1 ปี เนื่องจากเส้นผมมีระยะเวลาการหลุดร่วง เริ่มงอกใหม่ และเติบโตตามวงจรธรรมชาติ เพื่อให้มั่นใจว่าได้ผลลัพธ์การปลูกผมที่สมบูรณ์แบบจริง ๆ 

ผลลัพธ์ผมใหม่ เปลี่ยนคุณเป็นคนใหม่... แน่นอนว่า เมื่อผมที่งอกขึ้นใหม่ เริ่มอวดความแข็งแรง สวยงาม แลดูสุขภาพดี ทั้งยังหนาแน่นแบบกำลังดี และเรียงตัวกลมกลืนไปกับเส้นผมเดิมอย่างเป็นธรรมชาติแล้ว ผู้เข้ารับการรักษาก็เหมือนได้อิสระครั้งใหม่ ปลดล็อกตัวเองจากปัญหากวนใจเรื่องเส้นผม และสามารถก้าวออกไปใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่


ทั้งนี้ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ลองเข้ามาปรึกษาทันทีหากพบว่าตนเองเริ่มมีปัญหาเกี่ยวกับภาวะผมร่วง ผมบาง โดยไม่ต้องรอให้อาการต่าง ๆ เด่นชัดมากขึ้น หรืออายุมากขึ้น เพราะเมื่อถึงเวลานั้น เราอาจจะเสียโอกาสเรียกคืนผมสวยสุขภาพดีให้กลับมาอีกครั้ง เนื่องจากปัญหาผมรุนแรงเกินกว่าการปลูกผมจะเยียวยาแก้ไขได้แล้ว 

“ผมบางหลายจุด” หยุดสัญญาณปัญหาใหญ่ก่อนสายเกินแก้
เราน่าจะเคยได้ยินอยู่บ่อยครั้งว่า ...หากพบว่าผมเริ่มบาง ให้รีบปรึกษาแพทย์ ก่อนสายเกินไป... หลายคนอาจจะสงสัยว่า การรักษาอาการผมร่วงหรือผมบาง เป็นไปได้จริงหรือที่จะมีคำว่าสายเกินไป วันนี้ เราลองมาทำความเข้าใจข้อจำกัดของการแก้ปัญหาเส้นผม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่มีอาการผมบางพร้อม ๆ กันหลายจุด ซึ่งมีความเสี่ยงที่อาการจะรุนแรงยิ่งขึ้น จนแม้วิธีการ “ปลูกผมแบบถาวร” ที่แทบจะเป็นทางเลือกสุดท้ายในการรักษาก็อาจจะช่วยแก้ปัญหาได้ไม่สมบูรณ์แบบอย่างที่ควรเป็น

อาการผมร่วงและผมบางที่พบในผู้ชายส่วนใหญ่ มักเกิดจากสาเหตุเกี่ยวกับลักษณะทางกรรมพันธุ์ที่ส่งต่อกันมาในครอบครัว แต่ละคนอาจจะมีรูปแบบของอาการที่แตกต่างกัน ลองสังเกตดูว่าผมของเราหรือคนใกล้ตัว กำลังเริ่มบอกลาจากศีรษะไปแบบไหน



รูปแบบ A ผมเริ่มร่วงและบาง จากหน้าผาก เว้าเข้าไปถึงกลางศีรษะ

รูปแบบ O ผมเริ่มร่วงและบาง จากกลางศีรษะ ขยายออกมาเรื่อย ๆ หรืออย่างที่คนทั่วไปมักเรียกว่า ศีรษะล้านแบบไข่ดาว ซึ่งสุดท้าย อาจทำให้ศีรษะของเราเหลือเพียงผมบริเวณท้ายทอยได้ในที่สุด

รูปแบบ M ผมเริ่มร่วงและบาง จากหน้าผากทั้งสองข้าง เว้าเข้าไปเป็นรูปคล้ายตัว M เป็นลักษะที่เกิดขึ้นได้ค่อนข้างบ่อยทีเดียว ทั้งยังเริ่มพบได้ตั้งแต่อายุน้อย ๆ ประมาณ 17 – 18 ปีเท่านั้น

รูปแบบ O + M ผมเริ่มร่วงและบาง จากกลางศีรษะ และหน้าผากทั้งสองข้าง พร้อมกันในคราวเดียว


ในที่นี้ ลักษณะของผมร่วงและผมบางในรูปแบบ O + M อาจเรียกได้ว่าเป็นลักษณะที่น่ากังวลมากกว่ารูปแบบอื่น และทำการรักษาได้ยากที่สุด เนื่องจากเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นหลายจุดพร้อมกัน 


ซึ่งจากประสบการณ์การรักษาของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พบว่าในคนไข้ที่มีอาการผมร่นขึ้นไปจากหน้าผากค่อนข้างสูง อีกทั้งผมยังร่วงหายไปจากกลางศีรษะเป็นบริเวณกว้าง การที่แพทย์จะนำกราฟต์ผมจากด้านหลังท้ายทอย ซึ่งเป็นเส้นผมที่แข็งแรงทนทานต่อการหลุดร่วงมากที่สุด มาปลูกใหม่ยังบริเวณที่เป็นปัญหา อาจไม่สามารถเฉลี่ยกราฟต์ผมเพื่อช่วยเติมเต็มเส้นผมที่หลุดร่วงหายไปได้ครบถ้วนทั่วทุกจุด เนื่องจากต้นทุนเส้นผมบริเวณท้ายทอยนั้นมีอยู่จำกัด อาจไม่เพียงพอที่จะทดแทนเส้นผมบริเวณอื่นได้ทั้งหมด 

ที่สำคัญ การปลูกผมใหม่ต้องอาศัยเส้นผมของคนไข้เองเท่านั้น นี่จึงกลายเป็นข้อจำกัดที่ไม่ควรมองข้าม ดังนั้น หากยิ่งปล่อยให้อาการผมร่วงและผมบางรุนแรงหรือขยายวงกว้างขึ้น การแก้ปัญหาด้วยการปลูกผมถาวร เพื่อคืนผมสวยสุขภาพดีให้กลับมาหนาแน่นได้อีกครั้ง ก็จะยิ่งเป็นไปได้ยาก หรือแทบเป็นไปไม่ได้เลย

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำให้ผู้ที่มีปัญหาผมร่วงและผมบาง เริ่มสังเกตความเปลี่ยนแปลงของเส้นผม และมาพบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษาตั้งแต่เนิ่น ๆ โดยไม่จำเป็นต้องรอให้อายุมากขึ้น หรือรอให้เส้นผมหายไปอย่างชัดเจนเป็นบริเวณกว้างเสียก่อน โดยแพทย์จะช่วยประเมินอาการ พูดคุยซักถามเพื่อทราบความต้องการของคนไข้ และออกแบบวิธีการรักษาที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการเฉลี่ยกราฟต์ผมจากบริเวณท้ายทอยมาปลูกใหม่ในทุกจุดที่ผมเริ่มบาง หรือเลือกเน้นปลูกผมใหม่ในบางจุด และใช้การบำรุงฟื้นฟูช่วยในจุดที่เหลือควบคู่กันไป 

คนไข้จึงได้สัมผัสผลลัพธ์เส้นผมใหม่ที่แข็งแรง สุขภาพดี หนาแน่น และเรียงตัวไปกับเส้นผมเดิมอย่างกลมกลืนและเป็นธรรมชาติ พร้อมกับกรอบหน้าใหม่ที่ออกแบบมาอย่างได้สัดส่วน เพราะอย่างนี้เอง การปลูกผมใหม่ จึงสามารถเปลี่ยนคุณเป็นใหม่ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม


เรื่องของควันจางๆ กับผมบางๆ
อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า การสูบบุหรี่  ไม่ได้มีประโยชน์ต่อสุขภาพเลยในทุกๆ ด้าน เพราะสารต่างๆ ที่อยู่ในบุหรี่เมื่อเข้าไปในร่างกายเราแล้วจะทำลายอวัยวะแทบทุกส่วน โดยเฉพาะหลอดเลือดสมอง หัวใจ และปอด และยังเป็นปัจจัยอันดับแรกๆ ของโรคร้ายที่ไม่มีใครต้องการ ไม่ว่าจะเป็น ถุงลมโป่งพอง ไปจนถึงมะเร็ง ที่สำคัญสำหรับผู้ที่เข้ารับการปลูกผมยิ่งต้องตระหนักในเรื่องนี้ให้มากขึ้นด้วย

ผลกระทบจากการสูบบุหรี่กับการปลูกผม

ในการสูบบุหรี่แต่ละครั้งนั้น สารเคมีที่เข้าไปในร่างกาย โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จะปิดกั้นไม่ให้เลือดได้รับออกซิเจน ทำให้ประสิทธิภาพการนำพาออกซิเจนไปยังปลายอวัยวะต่างๆ ลดน้อยลง แน่นอนว่าผู้ที่เพิ่งรับการปลูกผม จะมีแผลที่ต้องการการรักษาตัวจากร่างกาย เมื่อเส้นเลือดไม่แข็งแรงก็จะทำให้การสมานแผลเกิดขึ้นช้าลง ซ้ำร้ายเซลล์บริเวณนั้นก็ทำงานได้ไม่เต็มร้อย หรืออาจมีการตายลงของเซลล์กราฟผมที่เราปลูก ทำให้การงอกใหม่ของเส้นผมทำได้น้อยกว่าปกติ ผลลัพธ์ของเส้นผมที่คาดการณ์ไว้ก็อาจไม่ดีตามที่คิด ไหนๆ เราก็อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดูดีขึ้นแล้ว เราก็ควรต้องให้ความสำคัญในจุดนี้ให้มาก จะได้ไม่ต้องเสียใจทีหลัง


เตรียมพร้อม เพื่อผมใหม่ที่ดูดี
สำหรับผู้ที่สูบบุหรี่ต้องเตรียมตัวเพิ่มมากขึ้นกว่าผู้ที่ไม่สูบคือ ควรงดการสูบบุหรี่ให้ได้อย่างน้อย 3 วัน เพื่อให้เลือดมีการสะสมออกซิเจน และคงระดับไว้เพื่อให้เส้นเลือดมีความแข็งแรง จนถึงวันที่เข้ารับการปลูกผม เพื่อให้เส้นเลือดเหล่านั้นพร้อมเป็นเส้นทางลำเลียงน้ำ ออกซิเจน รวมถึงสารอาหารสำคัญไปยังจุดที่เราทำการย้ายเซลล์รากผม และเมื่อเราทำการปลูกผมเสร็จแล้ว ก็ควรงดการสูบบุหรี่ไปอีกไม่น้อยกว่า 2 สัปดาห์ เพราะเป็นช่วงนาทีทองของการปลูกผม และยังช่วยทำให้แผลของเราสมานตัวเร็วขึ้น รากผมแข็งแรงมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเท่ากับว่าเราได้ผลลัพธ์ของผมชุดใหม่ที่ดูดีมากด้วยเช่นกัน

เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ควรระวัง

สำหรับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ขอแนะนำแถมเอาไว้ให้สำหรับสิงห์อมควันทั้งหลาย เพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่เข้าไปในร่างกายนั้น จะมีผลต่อเส้นเลือดโดยตรง เพราะทำให้เลือดออกง่าย โอกาสของแผลอักเสบก็จะมีมากกว่าผู้ที่ไม่ได้ดื่ม 

เพราะฉะนั้นผู้ที่จะเข้ารับการปลูกผมต้องใส่ดอกจันให้ตัวเองชัดๆ เลยว่า อยากได้ผมขึ้นดี ได้ผลลัพธ์แบบเกินคาด และกลับมาเป็นคนใหม่ที่ดูอ่อนกว่าวัย ควรอดใจงดบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามคำแนะนำของหมออย่างเคร่งครัด จะได้ไม่เสียใจทีหลังว่า  “รู้งี้เชื่อหมอดีกว่า”

ผมบาง ผมร่วง เป็นได้ ก็หายได้
คุณเป็นคนหนึ่งมั๊ยที่กำลังเผชิญปัญหาผมร่วง ผมบาง หวีผมทีไรเส้นผมติดหวีติดแปรงมาเป็นกระจุก หรือเวลาสระผมก็มีผมหลุดออกมาเยอะจนผิดสังเกต หรือบางทีแค่เอามือสางผม ก็มีเส้นผมติดมือมาให้น่าตกใจ แล้วจะยอมปล่อยให้เป็นปัญหาแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ หรือจะเริ่มต้นหาทางออกที่ดี 

จริงๆ แล้วตามธรรมชาติของเส้นผม ทุกวันจะมีผมหลุดร่วงประมาณ 50-100 เส้นต่อวัน ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เรามีปัญหาผมร่วงนั้นให้เข้าใจง่ายๆ เราก็จะแบ่งสาเหตุออกเป็น 2 ปัจจัย คือ ปัจจัยภายใน และปัจจัยภายนอก


สำหรับปัจจัยภายในก็หนีไม่ได้ว่าเป็นเรื่องของวัยที่เพิ่มมากขึ้น ความเครียด การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน และข้อสำคัญคือ พันธุกรรม 
ส่วนปัจจัยภายนอกนั้น ก็จะเป็นในเรื่องของการใช้ยา อย่างที่เห็นชัดเจนก็จะเป็นเรื่องของเคมีบำบัด รวมไปถึงกับผู้ที่ชอบการทำผม ไม่ว่าจะเป็น ดัดผม ย้อมผม หรือแม้กระทั่งการสระผมบ่อยเกินไป ก็เป็นสิ่งที่เร่งเร้าให้เส้นผมอ่อนแอลงด้วยเช่นกัน

และเมื่อเราต้องเผชิญกับปัญหาผมร่วง ผมบาง ขึ้นมาแล้ว ก็ไม่ควรละเลย เพราะนั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาที่ใหญ่มากขึ้นไปอีก เราจึงควรต้องหาสาเหตุให้ได้ก่อนว่าปัญหาของเรานั้นเกิดจากปัญหาอะไร เพื่อจะได้เลือกใช้การแก้ไขได้ตรงจุด อย่างการปลูกผม เป็นต้น 

สำหรับการแก้ปัญหาผมร่วงที่ไม่ได้เกิดจากพันธุกรรมนั้น เป็นภาวะที่รักษาให้หายได้ โดยทางที่ได้รับความนิยมก็คือการใช้ยา ซึ่งก็มีให้เลือกทั้งแบบกิน และแบบทา โดยเฉพาะยาในกลุ่มของไมน๊อกซิดิล (Minoxidil) ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายจะเป็นยาในกลุ่มที่ใช้ทามากกว่า เพราะสามารถกำหนดจุดบริเวณที่เราต้องการรักษาได้ดีกว่าใช้แบบรับประทาน โดยสรรพคุณของยานี้ จะช่วยขยายรูขุมขนบริเวณหนังศีรษะ ทำให้ขนาดของเส้นผมที่งอกมาใหม่นั้นใหญ่และหนากว่าเดิม รากผมก็จะแข็งแรงขึ้นจึงทำให้เห็นผลลัพธ์ของการหลุดร่วงของเส้นผมที่น้อยลง และการงอกใหม่จะค่อยๆ หนาแน่นขึ้นจนเป็นที่พอใจ


ทั้งนี้ก็ใช่ว่าการใช้ยาจะให้ผลดี 100% เพราะขึ้นอยู่กับผู้รักษาด้วยว่าใช้ยาได้ต่อเนื่องหรือไม่ ปริมาณยาที่ทาพอเหมาะไม่น้อยเกินไป การรักษาที่ใช้เวลานาน 3-4 เดือน ทำให้ต้องใช้ความอดทน ความสม่ำเสมอในการใช้อย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงสาเหตุอื่นร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นระยะเวลาเริ่มต้นรักษาที่อาจช้าเกินไป รูขุมขนหดตัวจนไม่สามารถงอกผมเส้นใหม่ขึ้นมาได้  นอกจากนี้การตอบสนองต่อยาของแต่ละคนก็อาจมีความแตกต่างกัน รวมไปถึงข้อด้อยของการใช้ยานี้เท่าที่มีการศึกษาจะพบว่าการตอบสนองของบริเวณที่ต้องการรักษาจะเป็นช่วงกลางศีรษะที่ดีกว่าบริเวณแนวผมด้านหน้า และเป็นการรักษาที่ไม่ถาวร 

และหากว่าต้องการผลลัพธ์การรักษาแบบถาวร วิธีที่ให้ผลดีคงหนีไม่พ้นการปลูกผม ที่ปัจจุบันมีวิทยการที่ทันสมัย รวมถึงเทคนิคใหม่ๆ อย่างการย้ายรากผม (FUE : Follicular Unit Excision) โดยแพทย์จะใช้เครื่องมือที่มีขนาดเล็กทำการเจาะรากผมตามแนวผมบริเวณท้ายทอยมาปลูกใหม่ในบริเวณที่เป็นปัญหา โดยที่นามนิน คลินิก ใช้การปลูกผมเทคนิค N/E/A/T ซึ่งมีจุดเด่น ตั้งแต่การออกแบบ Hairline ระหว่างแพทย์กับคนไข้เพื่อให้ได้กรอบหน้าใหม่ การซ่อนแผลด้านหลังกับผมทรงเดิม การปลูกผมด้วย Implanter ขนาดเล็ก 0.6 มม.ทำให้แผลมีขนาดเล็ก และฟื้นตัวได้ไว  รวมไปถึงความประณีตในการจัดวางรากผมให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน สิ่งต่างๆ เหล่านี้ถือเป็นข้อที่คุณไม่ควรมองข้าม ดังนั้นหากคุณกำลังมองหาวิธีดูแลปัญหาผมร่วงผมบาง แนะนำว่าควรปรึกษาแพทย์เพื่อวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่แท้จริง เพื่อแพทย์จะได้แนะนำการรักษาที่ถูกต้อง และได้ประสิทธิภาพอย่างที่คุณพอใจ อย่าปล่อยให้ปัญหานี้กลายเป็นปัญหาเรื้อรังที่ทำให้คุณขาดความมั่นใจ เลือกที่จะเปลี่ยนเป็นคนใหม่กับบุคลิกภาพที่ดูดีได้แค่ตัดสินใจ


ดังนั้นหากคุณกำลังมองหาวิธีดูแลปัญหาผมร่วงผมบาง แนะนำว่าควรปรึกษาแพทย์เพื่อวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่แท้จริง เพื่อแพทย์จะได้แนะนำการรักษาที่ถูกต้อง และได้ประสิทธิภาพอย่างที่คุณพอใจ อย่าปล่อยให้ปัญหานี้กลายเป็นปัญหาเรื้อรังที่ทำให้คุณขาดความมั่นใจ เลือกที่จะเปลี่ยนเป็นคนใหม่กับบุคลิกภาพที่ดูดีได้แค่ตัดสินใจ


ไขสาเหตุอาการคันหลังปลูกผม
การปลูกผมถาวรแบบย้ายรากผม เป็นทางเลือกที่กำลังมาแรงในกลุ่มผู้ประสบปัญหาผมร่วงและผมบาง ไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย ผู้หญิง หรือแม้กระทั่งวัยเรียน ซึ่งเทคนิคนี้เป็นการย้ายเซลล์รากผมจากหนังศีรษะด้านหลังท้ายทอย โดยไม่ต้องโกนผมบริเวณนั้นออก แล้วจึงนำเซลล์รากผมที่แข็งแรงและทนทานต่อการหลุดร่วงเหล่านั้น มาตรวจสอบ คัดแยก และปลูกลงใหม่ในบริเวณที่เป็นปัญหา ให้กลมกลืนไปกับสภาพผมเดิม และสอดรับกับรูปหน้าของผู้ปลูกผม




แม้ว่าเทคนิคการปลูกผมถาวรแบบย้ายรากผม จะไม่ต้องผ่าตัด ทำให้เกิดแผลเพียงขนาดเล็ก และเจ็บน้อย แต่หลังปลูกผม ก็ยังสามารถเกิดอาการข้างเคียงต่าง ๆ ในระยะแรก ๆ ได้ หนึ่งในนั้นก็คือ “อาการคัน” ทั้งตรงบริเวณท้ายทอยที่เจาะนำรากผมออกมา และบริเวณที่ทำการปลูกผมลงไปใหม่ หลาย ๆ คนจึงตั้งข้อสงสัยว่า อาการคันเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เป็นสัญญาณที่น่าเป็นห่วงหรือเปล่า แล้วเราควรปฏิบัติตัวอย่างไรดีหากเกิดอาการคันขึ้น 

ลองมาดูสาเหตุของอาการคันที่เกิดขึ้นหลังจากการปลูกผม อย่างที่ทราบกันดีว่า แผลที่ใกล้หาย มักจะเกิดอาการคันมากกว่าปกติ ดังนั้น เราจึงควรทำความเข้าใจกระบวนการสมานแผลของร่างกายกันก่อน 

  • ขั้นแรก เมื่อเกิดบาดแผลขึ้น ร่างกายของเราจะเริ่มห้ามเลือด โดยเส้นเลือดจะบีบแคบลง ทำให้เลือดไหลช้าลง ขณะเดียวกัน เกล็ดเลือดจะเกาะกลุ่มกันกลายเป็นลิ่มเลือดบริเวณปากแผล พร้อมกับเกิดการสร้างตาข่ายเส้นใยทำให้เกิดการแข็งตัวของเลือด 

  • ขั้นต่อมา เป็นระยะของการอาการอักเสบ ซึ่งหมายถึงการที่ร่างกายเริ่มทำความสะอาดบาดแผลและกำจัดสิ่งสกปกรกต่าง ๆ ออกไปเพื่อป้องกันการติดเชื้อ

  • จากนั้น เข้าสู่ระยะที่ร่างกายเริ่มสร้างเส้นเลือดใหม่และผิวหนังใหม่ ในขั้นตอนนี้เองจะทำให้เกิดเป็นสะเก็ดปกคลุมแผล และรู้สึกว่าผิวตึงขึ้น

  • สุดท้าย คือขั้นตอนของการปรับตัวและฟื้นฟู ซ่อมแซมเซลล์ต่าง ๆ ที่ถูกทำลาย

คำตอบของสาเหตุอาการคันอาจอยู่ตรงนี้นี่เอง เมื่อร่ายกายสร้างสะเก็ดแผล หรือสะเก็ดเลือดขึ้น จะพบว่าภายในสะเก็ดแผลนั้นมี “ฮิสตามีน” (histamine) ที่ออกฤทธิ์ทำให้ผิวหนังรอบบาดแผลเกิดการระคายเคือง ฮิสตามีนนั้นเป็นโมเลกุลที่ปล่อยออกมาโดยมาสต์เซลล์ (mast cell) ที่อยู่ใต้ผิวหนัง จะถูกสร้างและหลั่งออกมาเมื่อเกิดอาการแพ้ ทำให้รู้สึกคันหรือเกิดผื่นแดงเช่นเวลาถูกแมลงกัด มีข้อสันนิษฐานว่า การที่มีฮิสตามีนอยู่ในสะเก็ดแผล อาจเป็นกลไกของร่างกาย ที่ทำให้เรารู้สึกคันและเกาบริเวณนั้น เพื่อกำจัดสะเก็ดแผลที่ไม่ต้องการให้หลุดออกไป 



นอกจากนั้น ยังมีทฤษฎีที่มาของอาการคัน ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสมานแผลในระยะที่ 3 หรือระยะสร้างเส้นเลือดและผิวหนังใหม่ เพราะสะเก็ดแผลจะดึงรั้งผิวหนังใหม่ จนเกิดอาการคันได้เช่นกัน

ขณะเดียวกัน ยังมีคำอธิบายอื่น ๆ อีก เช่น การทำหัตถการทางการแพทย์ต่าง ๆ ทำให้เกิดแผลที่ผิวหนัง และกระทบกับเส้นประสาทบางส่วน รวมถึงต่อมเหงื่อด้วย ทำให้ผลิตน้ำมันออกมาน้อยลง จนทำให้เกิดอาการผิวแห้งและรู้สึกคันตามมา ไม่เพียงเท่านั้น ในขณะที่ร่างกายของเรากำลังซ่อมแซมตัวเองจากบาดแผลและความเสียหายของเส้นประสาท เส้นประสาทจะมีความไวต่อความรู้สึกมากกว่าปกติ โดยเฉพาะเมื่อแผลเริ่มหาย สัญญาณประสาทต่าง ๆ อาจทำให้สมองตีความอาการที่เกิดขึ้นว่าเป็นอาการคันก็เป็นได้

ดังนั้นแล้ว อาการคันจึงอาจนับเป็นสัญญาณดีที่บ่งบอกว่าการฟื้นตัวของบาดแผลกำลังเป็นไปด้วยดี ผู้เชี่ยวชาญยังแนะนำว่า เราไม่จำเป็นต้องกังวลกับอาการคันหลังการปลูกผม เพราะพบได้ทั่วไปเป็นปกติ ส่วนวิธีการดูแลผิวหนังบริเวณที่คัน ก็เริ่มจากการอดทน พยายามไม่เกาบริเวณนั้น เพราะอาจทำให้กราฟต์ผม หรือกลุ่มเซลล์รากผมที่ปลูกใหม่หลุดออกมาได้ แพทย์อาจให้สเปรย์หรือน้ำมัน เช่นน้ำมันมะกอก เพื่อช่วยลดอาการคัน หรือแนะนำให้รับประทานยาในกลุ่มยาต้านฮิสตามีน เพื่อบรรเทาอาการดังกล่าวได้

ข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้ที่เข้ารับการปลูกผม ไม่เพียงหมั่นสังเกตอาการดังที่กล่าวมาแล้วเท่านั้น ต่อไปนี้เป็นวิธีปฏิบัติตัว เพื่อให้การปลูกผมได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด และเกิดการหลุดร่วงของกราฟต์ผม หรือกลุ่มเซลล์รากผมน้อยที่สุด
  • ไม่ทำผมที่เพิ่งปลูกหลุด
  • ไม่ควรสัมผัสกราฟท์ผม
  • ควรนอนยกหัวสูง ลดการบวม
  • งดออกกำลังกายอย่างน้อย 3 วัน
  • งดการดื่มแอลกอฮอล์ประมาณ 2 – 4 สัปดาห์
  • งดการใช้สารเคมีหรือทำสีผม เป็นเวลา 2 – 3 เดือน
  • ป้องกันไม่ให้หนังศีรษะสัมผัสแสงแดด หรือความร้อนจากกิจกรรมต่าง ๆ อย่างน้อย  1 เดือน

ที่สำคัญที่สุด คือ ควรมาพบแพทย์ตาม ที่แพทย์นัดหมายเพื่อติดตามผล

เพียงเท่านี้ ก็จะช่วยการันตีผลลัพธ์ผมสวยและแข็งแรงหลังการปลูกผม รวมถึงสามารถดูแลเส้นผมและหนังศีรษะให้มีสุขภาพดี พร้อมเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ที่มั่นใจมากขึ้น

ปัญหาเส้นผม... อุปสรรคความมั่นใจของผู้หญิง
ไม่ใช่แค่ผู้ชายเท่านั้นที่ต้องกังวลใจกับปัญหาผมร่วงและผมบาง เพราะผู้หญิงจำนวนไม่น้อยก็ประสบกับปัญหาผมที่ส่งผลกระทบไปถึงความมั่นใจในการใช้ชีวิตด้วยเช่นกัน บ้างก็ไม่สามารถจัดทรงผมได้ตามใจต้องการ บ้างต้องคอยปกปิดส่วนที่ผมบางหรือหายไป และบางคนก็ดูมีอายุเกินวัยเพียงเพราะเส้นผมที่ไม่หนาแน่นเหมือนเคย นั่นจึงทำให้การปลูกผมเริ่มกลายเป็นที่สนใจในหมู่ผู้หญิงหลากหลายช่วงวัยมากขึ้น เนื่องจากผู้หญิงมักจะให้ความสำคัญกับความสวย บุคลิกภาพ และการดูแลตัวเองให้ดูดีมาเป็นอันดับแรก ๆ ...มาทำความรู้จักกับปัญหาเส้นผมของผู้หญิง ว่าเกิดมาจากสาเหตุอะไร และจะมีความแตกต่างจากปัญหาผมของผู้ชายอย่างไรบ้าง...



แม้ว่าเส้นผมของเราจะหลุดร่วงเป็นปกติอยู่แล้วในทุก ๆ วัน แต่นี่คือสัญญาณผมร่วงที่บ่งบอกว่า สภาพหนังศีรษะและเส้นผมของเรากำลังมีปัญหาอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นอาการผมร่วงแล้วไม่งอกขึ้นมาใหม่ทดแทน หรือขึ้นใหม่แต่เส้นเล็กและบางลงกว่าเดิม บางคนอาจมีอาการผมร่วงเป็นหย่อม ๆ และที่สำคัญคือ ผมร่วงในแต่ละวันมากกว่า 100 เส้น ซึ่งถือได้ว่าเป็นอาการผิดปกติ หรือเข้าสู่ภาวะผมร่วงและผมบางแล้วนั่นเอง 

สำหรับสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการผมร่วงในผู้หญิง ก็มาจากทั้งพฤติกรรมการใช้ชีวิต โรคและความเจ็บป่วย รวมถึงความเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของร่างกาย ดังตัวอย่างต่อไปนี้
  • กรรมพันธุ์
อาการผมร่วงและผมบางจากกรรมพันธุ์ สามารถส่งต่อถึงกันผ่านคนในครอบครัว พบได้ในทั้งผู้ชายและผู้หญิง

  • อายุ
สังเกตได้ว่า เมื่อผู้หญิงอายุมากขึ้น ผมจะค่อย ๆ บางลงจนเห็นหนังศีรษะชัดเจนขึ้นในบางราย ทั้งนี้ เป็นเพราะการไหลเวียนเลือดบริเวณหนังศีรษะลดน้อยลงประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์รากผมก็เสื่อมถอยลง ทำให้รากผมหดตัว และเส้นผมไม่สามารถเจริญเติบโตได้เต็มที่เหมือนเมื่อช่วงที่อายุยังน้อย

  • ความเครียด
ความเครียดในระดับที่รุนแรง อาจทำให้การทำงานของรากผมหยุดชะงัก จนเส้นผมหลุดร่วงจำนวนมากในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือนในบางราย ความเครียดหรือความวิตกกังวลอาจส่งผลต่อเนื่องไปสู่อาการชอบดึงผมตัวเอง ซึ่งเป็นการทำร้ายเส้นผมและหนังศีรษะโดยตรง

  • การขาดสารอาหาร
ผู้ที่กำลังลดน้ำหนัก อดอาหาร หรือผู้ป่วยโรค Anorexia หรือ Bulimia ซึ่งได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วนเพียงพออาจพบอาการเส้นผมหลุดร่วง เนื่องจากขาดโปรตีนหรือวิตามินสำคัญจนทำให้รากผมอ่อนแอ

  • สารเคมี
สารเคมีและความร้อนจากการย้อม ดัด ยืด หรือทำสีผมบ่อยเกินไปโดยขาดการบำรุง จะทำให้เส้นผมเปราะบางและหลุดร่วงง่ายยิ่งขึ้น

  • โรคและการบาดเจ็บต่าง ๆ
อาการผมร่วงอาจพบได้ในผู้ป่วยโรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคความดัน โรคไต ฯลฯ รวมไปถึงผู้ที่ได้รับบาดเจ็บทางร่างกายจากอุบัติเหตุหรือการผ่าตัดต่าง ๆ ด้วย

  • การตั้งครรภ์
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนบางชนิดในช่วงตั้งครรภ์และช่วงหลังคลอดบุตร อาจส่งผลให้เกิดการหลุดร่วงของเส้นผมได้ แต่เส้นผมจะกลับขึ้นมาใหม่ตามปกติภายในช่วงระยะ 6 – 12 เดือน

รูปแบบของอาการผมร่วงและผมบางในผู้หญิง ก็ค่อนข้างต่างจากผู้ชาย โดยจะมีลักษณะเด่นอยู่ 2 รูปแบบ นั่นคือรูปแบบผมบางบริเวณกลางศีรษะ และรูปแบบแนวผมถอยร่นจนทำให้หน้าผากกว้าง ซึ่งสาเหตุหลักของอาการดังกล่าวก็คือการส่งต่อพันธุกรรมลักษณะผมร่วงสู่กันในครอบครัวนั่นเอง

ผู้หญิงที่ประสบปัญหาผมบางตรงกลางศีรษะ เกิดจากการความไม่สมดุลระหว่างเส้นผมที่หลุดร่วงไป กับแส้นผมที่งอกขึ้นใหม่ เมื่อผมใหม่งอกขึ้นน้อยกว่า ผมจึงดูบางลงเรื่อย ๆ สังเกตได้ว่าผมมักจะเริ่มบางจากบริเวณรอยแสก จนกระทั่งเห็นหนังศีรษะชัดขึ้นเป็นบริเวณกว้าง แต่จะไม่ถึงกับศีรษะล้านอย่างชัดเจนทั้งหมดเหมือนผู้ชาย เนื่องจากผู้ชายจะมีฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (testosterone) มากกว่าผู้หญิง ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้เองมีโอกาสจะถูกเอนไซม์เปลี่ยนให้กลายเป็นฮอร์โมนไดไฮโดรเทสโทสเตอโรน (dihydrotestosterone) หรือ DHT และส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของรากผมลดลง ทำให้เส้นผมที่งอกใหม่ยิ่งมีขนาดเล็ก อ่อนแอ หลุดร่วงง่าย


ขณะเดียวกัน ผู้หญิงจำนวนไม่น้อยก็กำลังพบเจอกับปัญหาแนวผมด้านหน้าถอยร่นเข้าไปจนทำให้หน้าผากกว้าง บางคนอาจเห็นพื้นที่ผมเว้าเข้าไปสองข้างเป็นรูปตัว M ทำให้เป็นกังวลเรื่องความสวยงาม ความอ่อนวัย หรือสูญเสียความมั่นใจในการออกไปพบปะผู้คนในชีวิตประจำวัน 


ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาผมบางกลางศีรษะ หรือปัญหาแนวผมถอยร่นจนหน้าผากกว้าง “การปลูกผม” เป็นทางออกหนึ่งที่สามารถช่วยคืนเส้นผมหนาแน่นและกรอบหน้าเนียนสวยให้กับผู้หญิงได้ เพียงลองเข้ามาปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลเส้นผม ถึงรูปแบบของปัญหาผมที่เป็นอยู่ รวมถึงแนวความต้องการในการแก้ไขปัญหา ซึ่งแพทย์สามารถใช้เทคนิคการปลูกผมแบบถาวร ด้วยการย้ายรากผมจากบริเวณด้านหลังท้ายทอย มาเติมเต็มบริเวณที่เป็นปัญหา ไม่ว่าจะเป็นหน้าผากหรือกลางศีรษะ โดยไม่ต้องผ่าตัดและไม่ต้องพักฟื้น นอกจากเส้นผมใหม่จะดูหนาแน่น กลมกลืน และเป็นธรรมชาติแล้ว ยังเป็นโอกาสที่จะได้ปรับแต่งแนวผมและกรอบหน้าใหม่ เพื่อความอ่อนวัยและความสวยที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นด้วย


ไขปริศนา “ผมหงอก” กับ “ความเครียด”
ไขปริศนา “ผมหงอก” กับ “ความเครียด”

“ผมหงอก” เป็นอีกหนึ่งปัญหากวนใจที่หลายคนกังวลว่าจะทำให้เสียภาพลักษณ์จนส่งผลกระทบต่อความมั่นใจในการพบปะผู้คนในชีวิตประจำวัน ทั้งนี้ ปัจจัยหนึ่งที่ผู้คนมักจับคู่ว่าเป็นสาเหตุของอาการผมหงอกก็คงหนีไม่พ้น “ความเครียด” แต่ทราบหรือไม่ว่า ความเครียดกับอาการผมหงอกขาวก่อนวัย ยังคงเป็นปริศนาที่นักวิทยาศาสตร์พยายามหาคำตอบอยู่จนถึงทุกวันนี้ ว่ามีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันในลักษณะใด

โดยปกติแล้ว สีผมของคนเราจะเริ่มหงอกขึ้นเรื่อย ๆ ตามวัย ถือเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตามธรรมชาติ  โดยเซลล์เม็ดสีที่เรียกว่าเมลาโนโซต์ (melanocytes) ที่เป็นผู้ผลิตเม็ดสีเมลานิน (melanin) นี่เอง ทำให้เส้นผมของเราเป็นสีดำ แต่เมื่อเราอายุมากขึ้น ความสามารถในการปกป้องเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายไม่ให้ถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระก็จะลดลงจากในวัยหนุ่มสาว ทำให้เซลล์เมลาโนโซต์ค่อย ๆ หายไป ส่งผมให้เส้นผมเปลี่ยนสีตามไปด้วยนั่นเอง แต่ถ้าเราเริ่มมีผมหงอกขาวตั้งแต่ก่อนวัย 30 ล่ะ ความเครียดจะเป็นสาเหตุหนึ่งของอาการดังกล่าวอย่างไร

นอกจากปัจจัยอื่น ๆ อย่างเช่นการสูบบุหรี่ การสัมผัสมลพิษทางอากาศ หรือการขาดสารอาหารที่เหมาะสม เป็นที่ทราบกันดีว่าความเครียดสามารถส่งผลต่ออาการผมหงอกอย่างฉับพลันได้ เช่น กลุ่มอาการมารี อองตัวเน็ตต์ (Marie Antoinette Syndrome) ที่ทำให้พระนางมารี อองตัวเน็ตต์ อดีตราชินีฝรั่งเศส เกิดอาการผมหงอกขาวโพลนทั้งศีรษะภายในเวลาเพียงชั่วข้ามคืนก่อนถูกประหารด้วยกิโยติน แต่ก็ยังไม่พบคำตอบอยู่ดีว่าความเครียดส่งผลให้ผมของคนเราหงอกขาวได้ในเวลาอันสั้นด้วยกลไกแบบใด

ไม่นานมานี้ นักวิจัยเริ่มค้นพบความเชื่อมโยงของ “ความเครียด” กับกลไกการผลิตเม็ดสีบริเวณเส้นผม โดยพวกเขาทดลองสร้างภาวะเครียดรุนแรงให้กับกลุ่มหนูทดลองขนสีดำอายุน้อย ผลที่เกิดขึ้นหลังจากผ่านไม่กี่สัปดาห์ พบว่าขนสีดำของหนูทดลองกลุ่มนี้กลายเป็นสีขาวทั่วทั้งตัว 

สาเหตุเนื่องมาจากเมื่อหนูทดลองรู้สึกเจ็บปวดหรือหวาดกลัว ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลีนและคอร์ติซอล ทำให้หัวใจเต้นถี่ขึ้นและความดันโลหิตสูงขึ้น ส่งผลต่อระบบประสาทที่ทำให้เกิดความเครียดอย่างรุนแรง นำไปสู่การทำลายเซลล์ต้นกำเนิด หรือสเต็มเซลล์เมลาโนโซต์ที่ผลิตเม็ดสีในปุ่มรากผม หลังจากสเต็มเซลล์ผลิตเม็ดสีเหล่านี้ถูกทำลายจนหมดลง หนูทดลองจึงไม่สามารถสร้างสีขนได้อีกเลย 

นอกจากนั้น นักวิจัยยังตรวจสอบเปรียบเทียบหน่วยพันธุกรรมหรือยีนของหนูในภาวะเครียดกับหนูทดลองปกติ พบว่าหนูที่มีความเครียดจะผลิตโปรตีนชนิดหนึ่งออกมาสร้างความเสียหายต่อสเต็มเซลล์เมลาโนไซต์ ซึ่งถ้าให้ยาที่ยับยั้งโปรตีนชนิดนี้กับหนูทดลองในภาวะเครียด ก็จะช่วยชะลอการเกิดการเปลี่ยนสีขนได้

ทั้งหมดนี้เป็นผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature โดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Harvard สหรัฐอเมริกา ร่วมกับมหาวิทยาลัย Sao Paulo ประเทศบราซิล ที่พยายามจะไขความลับเกี่ยวกับภาวะเครียดและอาการผมหงอกมาเป็นเวลาหลายปี แม้ว่าการค้นพบครั้งล่าสุดนี้จะยังเป็นเพียงการวิจัยในกลุ่มหนูทดลอง แต่นักวิจัยเชื่อว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ในการพัฒนายาตัวใหม่ ๆ หรือวิธีการที่จะป้องกันและชะลออาการผมหงอกก่อนวัยที่เกิดจากความเครียดได้ในอนาคต

“นามนิน คลินิก” ชูจุดเด่น “ปลูกผมไม่ต้องลางาน”
ในระยะ 5-10 ปีที่ผ่านมา การศัลยกรรมในประเทศไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากทัศนคติที่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น การทำศัลยกรรมกลายเป็นที่ยอมรับและผู้ที่สนใจก็สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น จึงทำให้อายุโดยเฉลี่ยของผู้ทำศัลยกรรมลดลง จากผลการสำรวจจากสมาคมศัลยกรรมเสริมความงามนานาชาติ พบว่า ประเทศไทยทำศัลยกรรมมากเป็นอันดับที่ 20 ของโลก เป็นอันดับ 5 ของเอเชีย และเป็นอันดับ 1 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN)



“ปลูกผม” คือ หนึ่งในการทำศัลยกรรมของประเทศไทยที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีมูลค่าทางการตลาดสูงกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี และมีแนวโน้มจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องมากกว่า 10% ในทุกปี เพราะการปลูกผมเป็นทั้ง “ศาสตร์” และ “ศิลป์” จึงต้องประกอบไปด้วยความเชี่ยวชาญของแพทย์เฉพาะทาง ความประณีตพิถีพิถันและนวัตกรรมที่ทันสมัย เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยและความสะดวกสบาย รวมถึงประสิทธิภาพด้านความสวยงาม เน้นความเป็นธรรมชาติของเส้นผมที่ได้รับการปลูกขึ้นใหม่ และแสดงให้เห็นถึงอัตลักษณ์ที่สอดคล้องกับบุคลิกภาพตามธรรมชาติของผู้รับการปลูกผม


เพราะ “เส้นผม” เป็นมากกว่าแค่องค์ประกอบเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งของร่างกาย แต่ “เส้นผม” เป็นเครื่องสะท้อนถึงบุคลิกภาพและตัวตนของบุคคลนั้นได้ดีที่สุด “Namnin Clinic” จึงใช้โอกาสในช่วงวันแห่งความรัก เปิดตัวหนังสั้น “ขอบคุณที่รักผม” บน Facebook  เพื่อสื่อสารให้เห็นถึงคุณค่าของความรักที่ไม่ใช่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของชีวิต แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิต เปรียบเสมือนการปลูกผมที่ช่วยสร้างบุคลิกใหม่ และเพิ่มความมั่นใจให้คุณพร้อมเป็นคนใหม่ได้อย่างที่ใจต้องการ



“Namnin Clinic” เป็นคลินิกแห่งแรกที่บุกตลาดการศัลยกรรมปลูกผมในมุมมองใหม่ โดยใช้หนังสั้น “ขอบคุณที่รักผม” ช่วยนำเสนอความสำคัญและผลลัพธ์ของการปลูกผมตามแนวคิด “NEAT FOR NEW ใส่ใจเพื่อคุณคนใหม่” เพราะเชื่อมั่นว่า ทุกคนเริ่มต้นใหม่ได้เสมอและอยู่เคียงข้างทุกความตั้งใจเพื่อให้คุณพร้อมเป็นคนใหม่ได้อย่างที่ใจต้องการ





 “นามนิน” ขอชวนให้คุณมาร่วมหาคำตอบร่วมกันว่า ความรักทำให้คนเราเปลี่ยนแปลงหรือแท้จริงแล้วเราเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อความรักกันแน่ในหนังสั้นเรื่องนี้ 

ไขความลับยา Minoxidil แก้ปัญหาผมร่วงและผมบางได้จริงหรือ?
ชื่อของ Minoxidil น่าจะเคยผ่านสายตาของผู้ที่กำลังประสบปัญหาผมร่วงหรือผมบางกันมาบ้าง เพราะ Minoxidil คือตัวยารักษาอาการดังกล่าวที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย มีทั้งในรูปแบบยาเม็ดสำหรับรับประทาน หรือยาทาภายนอก เช่นแบบโลชั่น แบบน้ำ และแบบเนื้อโฟม สามารถพบตัวยา Minoxidil ในผลิตภัณฑ์หลากหลายยี่ห้อ ซึ่งมีทั้งแบบความเข้มข้น 2% และ 5% หลายคนอาจยังสงสัยว่า Minoxidil มีคุณสมบัติอย่างไรในการแก้ปัญหาผมร่วงและผมบาง และจะสามารถเพิ่มเส้นผมให้หนาแน่นและแข็งแรงขึ้นได้จริงหรือไม่ มาลองทำความรู้จักกับตัวยาชนิดนี้ให้มากขึ้นไปพร้อม ๆ กัน

ทราบหรือไม่ว่า เดิม Minoxidil ไม่ได้ผลิตขึ้นเพื่อจุดประสงค์ในการรักษาอาการผมร่วงและผมบาง แต่เป็นยาที่ใช้ลดความดัน สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการความดันโลหิตสูง เนื่องจากสามารถออกฤทธิ์ขยายหลอดเลือด ทำให้ความดันลดลงได้ โดยผู้ป่วยจะรับประทาน Minoxidil ในรูปแบบเม็ด แต่ในตอนนั้น แพทย์เริ่มสังเกตเห็นว่า หลังจากผู้ป่วยใช้ยาตัวนี้ติดต่อกันประมาณ 4 – 6 เดือน จะพบผลข้างเคียงจากยานั่นคือทำให้ผู้ป่วยที่มีผมบาง กลับมีเส้นผมใหม่เกิดเพิ่มขึ้น แพทย์จึงทดสอบเพิ่มเติมกับอาสาสมัครและผู้ป่วย และพบว่าร้อยละ 70 ของผู้เข้ารับการทดสอบด้วยการใช้ยา Minoxidil มีเส้นผมใหม่งอกขึ้นจริง สันนิษฐานว่าเกิดจากคุณสมบัติของตัวยาในการขยายหลอดเลือดนี่เอง ที่อาจทำให้มีเลือดและสารอาหารไปเลี้ยงเส้นผมมากขึ้น และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดการประยุกต์ใช้ยา Minoxidil สำหรับการรักษาอาการผมร่วงและผมบางมาจนถึงปัจจุบัน 

หากจะทำความเข้าใจกลไกการทำงานของ Minoxidil ที่มีผลต่อความเปลี่ยนแปลงของหนังศีรษะและเส้นผมนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจวงจรของเส้นผม หรือ Hair Life Cycle เสียก่อน โดยปกติแล้ว เส้นผมของคนเราซึ่งมีประมาณ 100,000 – 150,000 เส้นทั่วทั้งศีรษะนั้น จะมีระยะการเจริญเติบโตและหลุดร่วงไปตามธรรมชาติอยู่ 4 ระยะ ดังนี้

- ระยะเจริญเติบโต หรือ Anagen Phase 
ระยะนี้ ต่อมรากผมที่อยู่ลึกลงไปในชั้นหนังแท้ จะเริ่มเจริญเติบโตเป็นเส้นผมที่ค่อย ๆ ยาวขึ้น ใช้เวลาประมาณ 3 – 7 ปี ยิ่งระยะนี้ยาวนานเท่าไหร่ ผมของเราก็ยิ่งยาวและหนาแน่นขึ้น แต่หากระยะนี้กินเวลาสั้นลง ผมเกิดใหม่ก็จะกลับสั้น บาง และไม่แข็งแรง จนเป็นสาเหตุหนึ่งของอาการผมร่วง ผมบาง ที่นำไปสู่ภาวะผมล้านได้

- ระยะหยุดการเจริญเติบโต หรือ Catagen Phase
เมื่อเข้าสู่ระยะนี้ ต่อมรากผมจะหยุดการแบ่งเซลล์ ส่งผลให้เส้นผมเจริญเติบโตช้าลงจนค่อย ๆ หยุดไปในที่สุด ใช้เวลาประมาณ 2 – 3 สัปดาห์

- ระยะพัก หรือ Telogen Phase
หลังจากเส้นผมหยุดการเจริญเติบโตแล้ว จะค่อย ๆ เคลื่อนตัวมายังบริเวณผิวหนังศีรษะเพื่อรอการหลุดร่วง เป็นระยะเวลาประมาณ 3 เดือน ขณะเดียวกันเส้นผมที่กำลังจะเกิดใหม่ ก็จะทำหน้าที่ช่วยผลักให้เส้นผมเก่าหลุดร่วงออกไป ซึ่งโดยทั่วไป ผมของคนเราอาจร่วงได้ประมาณ 50 – 100 เส้นในแต่ละวัน 

หลังจากนั้น เส้นผมที่เกิดใหม่ก็จะเริ่มเข้าสู่วงจรเส้นผมในระยะแรกคือ Anagen Phase เพื่อเริ่มต้นวัฏจักรใหม่อีกครั้ง หมุนเวียนเช่นนี้เรื่อยไป ซึ่งเมื่อเราอายุมากขึ้น ก็มีโอกาสที่วงจรเส้นผมจะย่นระยะเวลาสั้นลงตามวัย เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เส้นผมอ่อนแอลงได้เช่นกัน

(PHOTO REFERENCE) ภาพวงจรเส้นผมในระยะต่าง ๆ


เมื่อเห็นภาพการเติบโตในแต่ละระยะของเส้นผมแล้ว ลองมาดูกลไกการออกฤทธิ์ของ Minoxidil กันบ้าง ในระยะเจริญเติบโต หรือ Anagen Phase ซึ่งเป็นระยะที่เส้นผมค่อย ๆ งอกขึ้นใหม่ ตัวยานี้จะช่วยขยายหลอดเลือดบริเวณหนังศีรษะให้กว้างขึ้น เปิดทางให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น นำพาสารอาหารและแร่ธาตุต่าง ๆ มาหล่อเลี้ยงและบำรุงหนังศีรษะและรากผมได้มากขึ้น จนส่งผลให้รากผมแข็งแรง พร้อมที่จะเติบโตไปเป็นไรผม และเส้นผมที่มีสุขภาพดีต่อไป 

ไม่เพียงเท่านั้น Minoxidil ยังช่วยกระตุ้นให้รากผมที่อยู่ในระยะพัก หรือ Telogen Phase เข้าสู่ระยะเจริญเติบโต หรือ Anagen Phase ได้เร็วขึ้นอีกด้วย ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่ากังวลหากผู้ใช้ยาตัวนี้จะพบว่าผมหลุดร่วงมากขึ้นในช่วงแรก ๆ ที่เริ่มใช้ หรือประมาณ 2 สัปดาห์แรก เนื่องจากเป็นสัญญาณที่ดี แสดงถึงประสิทธิภาพของตัวยาในการเร่งการผลัดเส้นผมเก่าที่หยุดการเจริญเติบโตแล้ว หรือเส้นผมที่ลีบเล็กและบางทิ้งไป เพื่อเตรียมรากผมให้พร้อมสำหรับการเกิดของเส้นผมใหม่ที่แข็งแรงขึ้น 

ทั้งนี้ Minoxidil จะช่วยฟื้นฟูรากผมที่หดตัวและอ่อนแอ ให้สามารถกลับมาสร้างเส้นผมใหม่ได้อีกครั้ง ที่สำคัญ ตัวยานี้ยังช่วยขยายรูขุมขนบริเวณหนังศีรษะ ขนาดของเส้นผมที่งอกขึ้นใหม่จึงมีโอกาสที่จะใหญ่และหนากว่าเดิมด้วย เมื่อรากผมที่เคยเป็นปัญหากลับมาสร้างเส้นผมใหม่ที่แข็งแรงขึ้นได้ เราจึงเห็นผลลัพธ์เส้นผมที่เพิ่มปริมาณหนาแน่นขึ้นทั่วศีรษะในที่สุด


เรียกได้ว่า Monoxidil จะส่งผลให้ระยะพัก หรือ Telogen Phase สั้นลง ขณะเดียวกันก็ยืดระยะเจริญเติบโตของเส้นผม หรือ Anagen Phase ให้ยาวนานขึ้น ทำให้เส้นผมไม่หลุดร่วงง่าย การทำงานของตัวยานี้จึงเท่ากับเป็นการรีเซ็ตวงจรเส้นผมใหม่ให้กลับสู่ภาวะปกติ ดังนั้น ระยะเห็นผลของยา จึงต้องใช้เวลาประมาณ 3 – 4 เดือนขึ้นไป ขึ้นอยู่กับสภาพหนังศีรษะและเส้นผมของแต่ละคน ระหว่างการรักษาจึงต้องอาศัยความอดทนและความสม่ำเสมอในการใช้ยาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการเกิดของผมสักเส้นหนึ่งนั้น ต้องใช้เวลาหลายเดือนตามวงจรเส้นผมโดยธรรมชาตินั่นเอง

แม้การรักษาด้วยตัวยา Minoxidil จะช่วยชะลออาการผมร่วงและผมบาง รวมถึงช่วยสร้างเส้นผมใหม่ ให้เติบโตจากไรผม เป็นเส้นผมที่แข็งแรงกว่าเดิมได้ แต่ก็เช่นเดียวกับยาทั่วไปที่มีทั้งข้อดีและข้อเสียควบคู่กัน ผู้ใช้จึงควรศึกษาทำความเข้าใจการทำงานของตัวยา หรือใช้ภายใต้ความดูแลของแพทย์ เพื่อระวังผลข้างเคียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ อย่างเช่นอาการระคายเคือง หรือการมีขนขึ้นในบริเวณอื่นนอกจากหนังศีรษะ เป็นต้น 

ทั้งนี้ อาจมีผู้ประสบปัญหาผมร่วงและผมบางที่พบว่าการใช้ยา Minoxidil ไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร  ซึ่งนอกจากสาเหตุที่พบได้บ่อย อย่างเช่นการใช้ยาไม่ต่อเนื่องยาวนานเพียงพอแล้ว ยังอาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น การเริ่มต้นรักษาช้าเกินไป หากปล่อยให้ผมร่วงอย่างต่อเนื่อง จนเส้นผมเล็กลงเรื่อย ๆ และรูขุมขนบนหนังศีรษะหดตัวจนเส้นผมใหม่ไม่สามารถงอกขึ้นมาได้อีก โอกาสที่จะรักษาโดยการใช้ยาตามที่กล่าวมา ก็จะเป็นไปได้ยาก นอกจากนั้นแล้ว การตอบสนองต่อตัวยาของแต่ละคนยังแตกต่างกัน ประสิทธิภาพในการใช้ยาจึงขึ้นอยู่กับสุขภาพของหนังศีรษะและเส้นผมด้วย หากหนังศีรษะและเส้นผมอ่อนแอ การใช้ยา Minoxidil อาจช่วยรักษาอาการผมร่วงและผมบางได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ที่สำคัญ หลายคนพบว่า Minoxidil อาจช่วยรักษาอาการผมร่วงและผมบางบริเวณกลางศีรษะได้ แต่รักษาอาการดังกล่าวบริเวณแนวผมด้านหน้าได้ไม่ดีเท่าที่ควร

หากต้องการผลลัพธ์การรักษาแบบถาวรร การเข้ารับการปลูกผมจากคลินิกหรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่เชื่อถือได้ ยังคงเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงไม่แพ้กัน เนื่องจากมีการพัฒนาเทคนิคใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา เช่นเทคนิคการปลูกผมถาวรแบบย้ายรากผม หรือ FUE (Follicular Unit Excision) ซึ่งเป็นการใช้เครื่องมือขนาดเล็กเจาะนำรากผมที่แข็งแรงจากบริเวณท้ายทอยมาปลูกใหม่ในบริเวณที่มีปัญหาโดยไม่ต้องผ่าตัด เหมือนเป็นการย้ายกอผมที่สมบูรณ์แข็งแรงไปซ่อมแซมในบริเวณที่เส้นผมบางลงไป โดยอาศัยความชำนาญในการระวังไม่ให้รากผมขาด รวมถึงความละเอียดอ่อนในการวางทิศทางแนวผมให้ดูเป็นธรรมชาติหรือเหมาะกับกรอบหน้ามากที่สุด เพื่อให้วงจรชีวิตของรากผมใหม่สามารถอยู่กับผู้เข้ารับการรักษาได้นานที่สุดนั่นเอง 


สำหรับขั้นตอนการตรวจวิเคราะห์และรักษา แพทย์อาจเริ่มจากการวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาผมร่วงและผมบางในแต่ละคนก่อน ร้อยละ 90 ของผู้ประสบปัญหาทั้งผู้ชายและผู้หญิงส่วนใหญ่ เกิดมาจากกรรมพันธุ์ มีเพียงร้อยละ 10 เท่านั้นที่เกิดจากสาเหตุอื่น ๆ เช่นโรคที่เกี่ยวข้องกับหนังศีรษะ ความผิดปกติของฮอร์โมนในร่างกาย รวมไปถึงภาวะความเครียด ซึ่งการรักษาให้ตรงกับที่มาหรือต้นเหตุของโรค ภายใต้การวินิจฉัยจากแพทย์เฉพาะทาง จะช่วยแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด 

อย่างไรก็ตาม หลังการปลูกผมแบบถาวร แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยา หรือ treatment ร่วมด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้เส้นผมบริเวณอื่นหลุดร่วงเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม จะเห็นได้ว่าทั้งการปลูกผมและการใช้ยาต่างก็มีบทบาทในการรักษาในแบบของตัวเอง ขึ้นอยู่กับคำแนะนำของแพทย์ในการเลือกใช้วิธีใดวิธีหนึ่งที่เหมาะสม หรือใช้ทั้งสองวิธีร่วมกันเพื่อผลลัพธ์ในระยะยาวที่ดีที่สุดนั่นเอง 

ปลูกผม “ครั้งเดียวจบ” จริงหรือไม่ ทำความเข้าใจ “ที่มา” ของภาวะผมร่วงและผมบางหลังการปลูกผม
แม้ว่าการปลูกผมใหม่ จะเป็นวิธีที่น่าเชื่อถือที่สุดในการแก้ปัญหาผมร่วงและผมบางที่อาจนำไปสู่ภาวะผมล้าน สามารถคืนเส้นผมแข็งแรงเป็นธรรมชาติ รวมถึงสร้างความมั่นใจให้หลาย ๆ คนออกไปใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ แต่บางส่วนของผู้ที่เข้ารับการปลูกผมเรียบร้อยแล้ว กลับยังต้องกังวลใจกับปัญหาผมร่วงและผมบางต่อเนื่อง ทั้งนี้ หลาย ๆ คนยังเข้าใจผิดว่า เมื่อเข้ารับการปลูกผมใหม่แล้ว จะสามารถแก้ปัญหาผมร่วงและผมบางได้ทั่วทั้งศีรษะร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ในความเป็นจริงนั้น ด้วยปัจจัยทางชีวภาพของมนุษย์เอง ทำให้ปัญหาผมร่วงและผมบาง ต้องการการดูแลรักษาอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องกว่าที่คิด
มาลองทำความเข้าใจถึงสาเหตุหลักที่แท้จริงของอาการผมร่วงและผมบางกันก่อน เป็นที่ทราบกันดีว่า ผู้ชายมักจะพบปัญหาผมร่วงและผมบางมากกว่าผู้หญิง คำตอบของปัญหานี้ ซ่อนอยู่ลึกลงไปในพันธุกรรมของคนเรา เนื่องจากยีนหรือหน่วยพันธุกรรมที่ควบคุมลักษณะผมร่วงและผมบางนั้น จะแสดงลักษณะเด่นในเพศชาย และแสดงลักษณะด้อยในเพศหญิง เรียกว่าเป็นลักษณะที่อยู่ใต้อิทธิพลทางเพศ (sex – influenced trait) ยีนที่ว่านี้ ได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรมส่งต่อถึงกันผ่านคนในครอบครัว และเป็นสาเหตุหลักของอาการผมร่วงและผมบางมากถึงร้อยละ 95 ทีเดียว
ไม่เพียงเท่านั้น อาการผมร่วงและผมบาง ยังมีฮอร์โมนเพศเป็นปัจจัยสำคัญต่อการแสดงออกของลักษณะดังกล่าว นั่นคือฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (testosterone) โดยผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดลักษณะผมร่วงและผมบางผ่านทางพันธุกรรมนั้น จะพบระดับเอนไซม์ที่ชื่อ 5-alpha reductase เพิ่มขึ้นบริเวณหนังศีรษะ และเอนไซม์ตัวนี้เอง ที่ทำหน้าที่เปลี่ยนฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ให้กลายเป็นฮอร์โมนไดไฮโดรเทสโทสเตอโรน (dihydrotestosterone) หรือ DHT ผลจากฮอร์โมน DHT จะทำให้รูขุมขนบริเวณหนังศีรษะมีขนาดเล็กลง ส่งผลให้เส้นผมที่เกิดขึ้นใหม่มีรากผมที่อ่อนแอ ทั้งยังมีลักษณะบางและสั้นลง จนหลุดร่วงไวกว่ากำหนดตามไปด้วย นำไปสู่อาการผมร่วง ผมบาง และภาวะศีรษะล้านได้ในที่สุด
หากลองสังเกตจะพบว่า ลักษณะของอาการผมร่วงและผมบางในผู้ชายนั้น จะแตกต่างจากผู้หญิง โดยมีรูปแบบการร่วงของเส้นผมเริ่มจากบริเวณต่าง ๆ ได้แก่

รูปแบบ A ผมเริ่มร่วงจากบริเวณหน้าผาก เว้าเข้าไปจนถึงกลางศีรษะ

รูปแบบ O ผมเริ่มร่วงจากบริเวณกลางศีรษะ ขยายออกมารอบ ๆ จนเหลือเพียงผมบริเวณท้ายทอย รูปแบบนี้เป็นลักษณะที่พบค่อนข้างมากในผู้ชายส่วนใหญ่ โดยเฉพาะผู้ชายเอเชีย และมักเกิดจากกรรมพันธุ์เป็นสาเหตุหลัก

รูปแบบ M ผมเริ่มร่วงจากบริเวณหน้าผากทั้งสองข้าง เว้าเข้าไปเป็นรูปตัว M รูปแบบนี้อาจเริ่มต้นพบได้ในผู้ชายที่อายุยังไม่มาก หรือประมาณ 18 ปีเรื่อยไปจนกระทั่ง 30 ปี

รูปแบบ O ผสมกับรูปแบบ M ผมเริ่มร่วงจากบริเวณกลางศีรษะ และบริเวณหน้าผากทั้งสองข้างพร้อม ๆ กัน เป็นรูปแบบที่ทำให้เกิดอาการผมร่วงและผมบางได้หนักที่สุด



(PHOTO REFERENCE) ภาพตัวอย่างรูปแบบของผมร่วงและผมบาง


ลักษณะของอาการผมร่วงและผมบางเหล่านี้ สามารถเกิดขึ้นได้อย่างค่อยเป็นค่อยไปตั้งแต่วัยหนุ่ม และปรากฏชัดเจนขึ้นเมื่ออายุเพิ่มขึ้น เป็นที่น่าสังเกตว่า ในผู้ชายทั่วไปที่ต้องเผชิญกับภาวะผมร่วงและผมบาง มักจะเกิดกับเส้นผมบริเวณหน้าผากและกลางศีรษะ ในขณะที่ผมบริเวณท้ายทอยจะคงเหลืออยู่เป็นบริเวณสุดท้ายเสมอ เนื่องจากรากผมบริเวณท้ายทอยมีความแข็งแรง และมีลักษณะพิเศษที่สามารถทนทานต่อฮอร์โมน DHT ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการผมร่วงและผมบางได้มากกว่าปกติ โดยทั่วไปนั้น รากผมที่แข็งแรงจะสามารถสร้างเส้นผมได้ถึงประมาณ 20 รอบตลอดอายุของรากผม โดยเส้นผมจะมีวงจรชีวิต 1 รอบอยู่ที่ประมาณ 6 – 10 ปีก่อนจะหลุดร่วงไปเองตามธรรมชาติ ดังนั้น รากผมที่แข็งแรงเพียงพอ และอยู่ในปัจจัยที่เหมาะสม อาจมีอายุได้สูงสุดถึง 200 ปี เลยทีเดียว

นั่นจึงเป็นคำตอบของคำถามที่ว่า ทำไมการปลูกผมใหม่ จึงต้องนำรากผมบริเวณท้ายทอย ไปปลูกทดแทนบริเวณที่ผมบางลงไป อย่างเช่นหน้าผากหรือกลางศีรษะ นั่นก็เพราะคุณสมบัติในการไม่ตอบสนองต่อฮอร์โมน DHT ทำให้เส้นผมบริเวณท้ายทอยนี้มีรากผมที่แข็งแรงที่สุด เมื่อนำไปปลูกใหม่ แม้จะเป็นการปลูกลงในบริเวณที่เคยเกิดปัญหาผมร่วงและผมบาง เส้นผมที่ปลูกใหม่นี้ ก็จะยังคงคุณสมบัติต้านฮอร์โมน DHT ไว้เหมือนเดิม ทำให้เส้นผมมีความแข็งแรง ยากที่จะเกิดปัญหารากผมอ่อนแออย่างเก่าได้อีก ทั้งยังสามารถมีอายุอยู่ต่อไปได้เป็นร้อยปี



สำหรับวิธีการปลูกผมถาวรนั้นก็มีการพัฒนาเทคนิคใหม่ ๆ ขึ้นตลอดเวลา ตามการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น เช่นเทคนิคการปลูกผมถาวรแบบย้ายรากผม หรือ FUE (Follicular Unit Excision) เทคนิคนี้เป็นการเจาะนำรากผมที่แข็งแรงจากบริเวณท้ายทอยมาปลูกใหม่โดยไม่ต้องผ่าตัด โดยใช้เครื่องมือเจาะรอบกอผมลึกลงไปยังรากผม กอผมหรือเนื้อเยื่อของรากผมตรงนี้เรียกว่า กราฟต์ (Graft) ซึ่งในแต่ละกราฟต์จะประกอบด้วยเส้นผมอยู่รวมกันประมาณ 1 – 4 เส้น

หลังจากดึงกราฟต์หรือกอผมเหล่านั้นออกมาแล้ว จะต้องนำกราฟต์ไปผ่านกระบวนการคัดแยกตามลักษณะทิศทางของเส้นผม รวมถึงจำนวนเส้นผมในแต่ละกราฟต์เสียก่อน จากนั้น แพทย์จะเปิดช่องหนังศีรษะบริเวณที่มีปัญหาและต้องการปลูกผมใหม่ เพื่อนำกราฟต์ใหม่ใส่ลงไป ซึ่งแพทย์จะพิจารณาถึงจำนวนกราฟต์ที่ใช้ปลูกใหม่ตามสภาพปัญหาผมและบริเวณที่จะปลูกผมของแต่ละคน เหมือนเป็นการย้ายกราฟต์ผมที่สมบูรณ์แข็งแรงไปซ่อมแซมในบริเวณที่เส้นผมบางลงไป โดยอาศัยความชำนาญในการระวังไม่ให้รากผมขาด รวมถึงความละเอียดอ่อนในการวางทิศทางแนวผมให้ดูเป็นธรรมชาติหรือเหมาะกับกรอบหน้ามากที่สุด เพื่อให้วงจรชีวิตของรากผมใหม่สามารถอยู่กับผู้เข้ารับการรักษาได้นานที่สุดไปจนตลอดชีวิตนั่นเอง

ถ้าอย่างนั้น สาเหตุของภาวะผมร่วงและผมบาง หลังจากการปลูกผมใหม่ เกิดขึ้นได้อย่างไร นั่นก็เป็นเพราะเรานำรากผมจากบริเวณท้ายทอยมาปลูกใหม่เฉพาะบริเวณที่ผมบางลงอย่างชัดเจนเท่านั้น ในขณะที่ผมบริเวณอื่น ๆ ยังคงเป็นรากผมเดิม ที่ได้รับผลจากกรรมพันธุ์ซึ่งเปลี่ยนฮอร์โมนเพศชายให้กลายเป็นฮอร์โมน DHT จนส่งผลให้รากผมอ่อนแอและเส้นผมหลุดร่วงอยู่ หลาย ๆ คนที่เข้ารับการปลูกผมใหม่แล้ว จึงอาจพบปัญหาผมร่วงและผมบางต่อเนื่องได้

ในกรณีนี้ สามารถลองปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลเส้นผม เพื่อขอคำปรึกษาในการรับมือกับภาวะผมร่วงและผมบางได้ โดยแพทย์จะวิเคราะห์สาเหตุและออกแบบบริการดูแลเส้นผมต่าง ๆ ซึ่งหากพบว่าสาเหตุของอาการผมร่วงมาจากกรรมพันธุ์ แพทย์มักแนะนำให้ทำการปลูกผมเพิ่มเติม เพื่อให้ผมดูหนาแน่นขึ้น โดยเลือกเทคนิคการรักษาใหม่ ๆ ที่มีความน่าเชื่อถือ ให้ประสิทธิผลสูง สามารถลดอาการบาดเจ็บ ลดขนาดของรอยแผล รวมถึงใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นน้อยลงได้




นอกจากนั้น การหันมาใส่ใจดูแลเส้นผมในชีวิตประจำวัน ตลอดจนการปรับพฤติกรรมต่าง ๆ ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการหลุดร่วงของเส้นผม หรือทำให้รากผมอ่อนแอ ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยยืดระยะเวลาการหลุดร่วงของเส้นผมให้ช้าลงได้ เช่น

- พฤติกรรมการบำรุงผม
ควรหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีหรือการทำสีผม และเลือกใช้แชมพูที่อ่อนโยน เหมาะสมกับสภาพหนังศีรษะ ทั้งยังไม่ควรสระผมบ่อยครั้งจนเกินไป หลีกเลี่ยงการใช้น้ำร้อนหรือน้ำอุ่นในการสระผม รวมถึงการใช้ไดร์เป่าผมแบบลมร้อนกับหนังศีรษะโดยตรง เพราะความร้อนจะทำให้เส้นผมยิ่งเปราะบางเนื่องจากโปรตีนถูกทำลาย ที่สำคัญ ไม่ควรหวีผมขณะที่ผมยังเปียก เพราะเป็นช่วงที่เส้นผมอยู่ในสถานะที่อ่อนแอที่สุด จะเป็นการรบกวนฐานผมและทำให้ผมยิ่งหลุดร่วงง่าย

- พฤติกรรมการรับประทานอาหาร
เลือกรรับประทานอาหารเพื่อให้ได้สารอาหารอย่างครบถ้วน โดยเฉพาะโปรตีนหรือวิตามินต่าง ๆ ซึ่งมีผลต่อสุขภาพและความแข็งแรงของเส้นผม ขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญกับการดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอ เนื่องจากน้ำเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของฐานผมเช่นกัน

- พฤติกรรมการจัดการกับความเครียด
ความเครียดเป็นปัจจัยหนึ่งที่อาจทำให้เกิดอาการผมร่วงและผมบางได้ วิธีง่าย ๆ อย่างเช่นการฝึกสมาธิหรือออกกำลังกายเป็นประจำ จะช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนและช่วยให้เราจัดการกับความเครียดได้ดีขึ้น

ปัญหาผมร่วงและผมบางต่อเนื่องหลังการปลูกผม ต้องอาศัยความเข้าใจที่ถูกต้องถึงที่มาและสาเหตุที่แท้จริงของอาการดังกล่าว จึงจะนำไปสู่การเลือกวิธีการดูแลรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ภายใต้ความดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผมโดยเฉพาะ เพื่อให้ผู้ที่กำลังเผชิญกับภาวะผมร่วงและผมบาง สามารถเรียกคืนความมั่นใจและบุคลิกภาพที่ดีกลับมาได้ พร้อมกับเส้นผมแข็งแรงและสุขภาพดีที่จะอยู่กับเราไปอีกนานแสนนาน